ผบช.กมค. จ่อเรียก ‘เฮียแต๋ม’สอบปากคำ หลังพบให้ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ เช่าบ้านอยู่

26 กันยายน 2566, 16:22น.


          กรณี  “เฮียแต๋ม” นักธุรกิจขนส่งรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานีและภรรยา ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านที่เข้าตรวจค้นทั้ง 5 หลังและเป็นผู้จ่ายค่าส่วนกลางปีที่ผ่านมา เป็นเงิน 142,000 บาท  รวมทั้งยังเป็นผู้ขอใช้ไฟฟ้าให้กับบ้านทั้ง 5 หลัง  โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่าเช่าบ้านเฮียแต๋ม อยู่เดือนละ 50,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นญาติกันนั้น  



          พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผบช.กมค.) ในฐานะหัวหน้าชุด 4 ปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT เปิดเผยว่า  เพิ่งทราบเรื่องจากสื่อมวลชน  เพราะเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นบ้านญาติ  ไม่ได้มีการเช่า หลังจากนี้จึงต้องตรวจสอบว่า  เฮียแต๋มมีความสัมพันธ์เครือญาติด้านไหนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หากมีการเช่าจริงก็ต้องมีสัญญาตามกฎหมาย โดยจะต้องเรียกเฮียแต๋มมาให้ปากคำเร็วๆ นี้



          ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา เพื่อเอาผิดตำรวจชุดตรวจค้นบ้านพักย่านวิภาวดี 60 เพราะเป็นการค้นโดยมิชอบ   พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่าการตรวจค้นเป็นไปตามหลักกฎหมาย  ตั้งแต่การขอหมายค้นและหมายจับจากศาล มีการระบุตัวตนของบุคคลตามหมายจับ รวมถึงอาชีพ ที่ไม่ได้มีการปิดบังว่าเป็นตำรวจในการแถลงต่อศาล  อีกทั้งกฎหมายก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องระบุยศ  สามารถใช้คำนำหน้านายได้ และมีหลายครั้งที่การออกหมายจับตำรวจบางคดี ต้องให้เกียรติกัน จึงไม่ระบุยศทางราชการ



         นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า  มีเหตุให้เข้าค้นบ้านพัก เพราะพ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับ  เป็นคนที่เข้าออกภายในบ้านทั้ง 5 หลังนี้  มีชื่อผู้ต้องหาลงทะเบียนรับส่งพัสดุเป็นประจำ  และมีการชำระค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นเงินจากบัญชีม้า  โดยไม่ทราบว่า พ.ต.ต.ชานนท์ เป็นนายตำรวจติดตามของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  และไม่ทราบมาก่อนว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าว  เพราะหมู่บ้านดังกล่าวมีการรักษาความปลอดภัยแบบระบบปิด  ตำรวจจึงไม่ทราบว่ามีใครพักอยู่ภายในบ้านพักบ้าง



          ส่วนกรณีที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ PCT ได้สืบสวนและออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 23 คน ตรวจค้น 30 จุดนั้น มีกำลังไม่เพียงพอ  จึงต้องขอกำลังสนับสนุนจากตำรวจที่ทำงานและพร้อมส่งต่อข้อมูลกันได้ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีตำรวจ ปปป. เข้าร่วมด้วย เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ   รวมทั้งการใช้กำลังตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเข้าปฏิบัติงาน เป็นผลจากการประเมินความเสี่ยง เพราะผู้ต้องหาบางคนมีประวัติคดีอาชญากรรมคดียาเสพติด และผู้ต้องหาส่วนหนึ่งเป็นตำรวจ จึงเชื่อว่ามีอาวุธไว้ป้องกันตัว ชุดจับกุมจึงต้องเตรียมพร้อมในการปฏิบัติการ ไม่ได้มีนัยยะอื่นแอบแฝง



          สำหรับตำรวจทั้ง 8 นายที่ถูกจับ จะให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่นั้น พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ขอให้เป็นการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา   ซึ่งต้นสังกัดของตำรวจแต่ละนายทราบเรื่องแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร  โดยตำรวจทั้ง 8 นายยังคงให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวน   ส่วนการขยายผลของผู้ต้องหาในเครือข่ายนี้  เตรียมพิจารณาดำเนินคดีและออกหมายเรียกมาให้ข้อมูลในพยานกับผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับผลประโยชน์และกลุ่มที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับบัญชีม้า 2 บัญชี  เงินหมุนเวียน 260 ล้านบาท  นอกจากนี้ยังยืนยันว่า มีกลุ่มสื่อมวลชนและบุคคลร่วมอยู่ในกลุ่มรับผลประโยชน์ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยจำนวน ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังบุคคลที่รู้ว่าตนเองมีธุรกรรมการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าเหล่านี้  ให้มาแสดงตัวเข้าให้ปากคำกับตำรวจ



          ส่วนเส้นทางการเงินจะเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือไม่นั้น  ผบช.กมค. ยังไม่ขอเปิดเผย  เพราะอยู่ในสำนวน  แต่ยืนยันว่าการที่ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิด ไม่ได้เป็นเหตุให้ต้องออกหมายเรียกผู้บังคับบัญชาของบุคคลนั้นมาสอบปากคำ แต่จะต้องมีพยานหลักฐานส่วนอื่นประกอบด้วย



          นอกจากนี้ในแนวทางการสืบสวน ผู้ต้องหา 4 กลุ่มที่จับกุมได้นั้น ในกลุ่มผู้บริหารจัดการเว็บไซต์  ประกอบด้วยตำรวจ 1 คน และพลเรือน 2 คน ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คน ที่เป็นทหารนั้น เป็นพลทหารประจำการเกี่ยวข้องในส่วนของกลุ่มฟอกเงินและบัญชีม้า ขณะที่ภาพรวมการยึดทรัพย์สินของกลางยึดได้ เช่น รถยนต์หรู เครื่องเพชร ทองคำ พระเครื่อง รวมมูลค่ากว่า 143 ล้านแล้ว



          พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า คดีนี้ไม่ได้ทำตามกระแส หรือเป็นผลจากการเมือง แต่สืบสวนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบพยานหลักฐานสำคัญ จนสามารถขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้ถึง 23 หมายจับ จึงต้องรีบดำเนินการ มิฉะนั้นหากปล่อยไว้ผู้ต้องหาอาจเคลื่อนย้ายทรัพย์สินหรือหลักฐานสำคัญจนเสียรูปคดี โดยเฉพาะกลุ่มบัญชีม้าและกลุ่มผู้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ที่ตามกฎหมายต้องยึดอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ หากพบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด ทรัพย์ดังกล่าวก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน พร้อมขอความเป็นธรรมให้กับชุดจับกุม ไม่ได้ทำงานเพื่อกลั่นแกล้งใคร



#บิ๊กโจ๊ก



#สุรเชษฐ์หักพาล



#เฮียแต๋ม



#พนันออนไลน์

ข่าวทั้งหมด

X