นักวิชาการสิงคโปร์ วิเคราะห์ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เวียดนาม เป็นยุทธศาสตร์การทูตที่เหมาะสม หลังศก.จีนอ่อนแอ

11 กันยายน 2566, 13:01น.


            การเดินทางเยือนกรุงฮานอย เวียดนามของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 10-11 ก.ย.66 และมีการลงนามในข้อตกลงฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯกับเวียดนาม เรียกว่า ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกด้าน



            นายเล ฮองเฮียน จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัคของสิงคโปร์ กล่าวว่า การที่เวียดนามและสหรัฐฯ ลงนามในข้อตกลงนี้ มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าเนื้อหาสาระ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นอาจจะหมายถึง ข้อตกลงทางธุรกิจที่ดีขึ้น และลดการพึ่งพาประเทศจีน นอกจากนั้น ในปัจจุบัน เศรษฐกิจจีนอ่อนแอ การที่เวียดนามหันมาสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ นับเป็นยุทธศาสตร์ทางการทูตที่เหมาะสมกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน



           เวียดนามเป็นตลาดแรงงานที่มีคนวัยหนุ่มสาวและมีการศึกษาในระดับที่สูง เวียดนามยังบ่มเพาะแนวคิดการเป็นผู้ประกอบธุรกิจ สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะนักลงทุนสหรัฐฯ ที่ต้องการจะย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ เช่น เดลล์, กูเกิล,ไมโครซอฟท์และแอปเปิ้ล เริ่มย้ายซัพพลายเชนบางส่วนจากประเทศจีนเข้าไปในประเทศเวียดนามในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 



          นอกจากนี้ เวียดนามมีศักยภาพที่จะเป็นฐานการผลิตซัพพลายเชนด้านเซมิคอนดักเตอร์ของโลก และพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่สหรัฐฯพยายามจะกีดกั้นประเทศจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงจากสหรัฐฯ



         บีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีไบเดน เปิดเผยกับนักข่าวในกรุงฮานอยว่า การลงนามความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่รอบด้าน สหรัฐฯไม่ได้มุ่งสกัดกั้นหรือโดดเดี่ยวประเทศจีน แต่เป็นการเยือนเพื่อหารือกับเวียดนามในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความมั่นคงของภูมิภาค ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สหรัฐฯต้องการเห็นจีนประสบความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ แต่อีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯต้องการเห็นจีนเคารพกฎกติการะหว่างประเทศด้วย การเยือนเวียดนามไม่เกี่ยวกับเรื่องแนวคิดสงครามเย็นกับจีน   



 



#ไบเดนเยือนเวียดนาม

ข่าวทั้งหมด

X