รอยเตอร์รายงานอ้างนายเล ฮอง เฮียป (Le Hong Hiep) นักวิเคราะห์ระดับสูงจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute)ของสิงคโปร์ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯหวังจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอดีตคู่ปรปักษ์คือ เวียดนามขึ้นมาสู่ระดับสูงสุด(ระดับเดียวกับสัมพันธ์กับประเทศจีนและรัสเซีย)หรือ สูงขึ้น 2 ขั้นจากปัจจุบัน ก่อนนายไบเดนจะมาเยือนกรุงฮานอย ในวันที่ 10 กันยายนนี้ นับเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศจีน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ในตอนแรก เวียดนาม แสดงท่าทีระมัดระวังเรื่องการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯเนื่องจากหวั่นเกรงผลกระทบจากประเทศจีน เพื่อนบ้านที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ท่าทีอิดออดดังกล่าวของเวียดนามยิ่งทำให้รัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนเพิ่มความพยายามที่จะโน้มน้าวให้เวียดนาม ยกระดับความสัมพันธ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนระหว่างรัฐมนตรีระดับสูงของรัฐบาลของประเทศทั้งสองในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายไบเดนพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในสหรัฐฯในเดือนกรกฎาคม นับแต่นั้นมา เจ้าหน้าที่จากประเทศทั้งสองแสดงความหวังเรื่องการยกระดับสัมพันธ์การทูตขึ้นจากเดิม 2 ขั้น แม้ว่าจะไม่มีการแถลงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการจากทั้งสองฝ่าย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามได้หารือกับรัฐบาลจีนว่า หลังการเยือนเวียดนามของนายไบเดนในวันที่ 10 กันยายนนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หรือ นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของประเทศจีนอาจจะเยือนกรุงฮานอย เพื่อพบปะผู้นำเวียดนามในอนาคตอันใกล้
เบื้องต้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบชัดเจนว่า เวียดนาม ซึ่งมีปัญหาพิพาทกับประเทศจีนในเรื่องอาณาเขตในทะเลจีนใต้ จะได้ประโยชน์อะไรในระยะสั้นจากการยกระดับสัมพันธ์การทูตกับสหรัฐฯ ส่วนประเด็นเรื่องการสนับสนุนด้านอาวุธแก่เวียดนามเป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมานานแล้ว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายอาจจะต้องพูดคุยกันอีกนานกว่าจะบรรลุข้อตกลง
แต่เรื่องพลังงานเป็นประเด็นหนึ่งที่สหรัฐฯและเวียดนามสามารถจะเพิ่มความร่วมมือกัน เพื่อผลักดันให้เวียดนามมีบทบาทสำคัญในด้านการส่งออกพลังงานก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)และการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเช่น พลังงานลมในภูมิภาคนี้
#สหรัฐยกระดับสัมพันธ์เวียดนาม