วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของอภ. เป็นรายแรกของไทย เตรียมใช้ได้ ต้นเดือนม.ค.ปี67

01 กันยายน 2566, 15:29น.


          การพัฒนาวัคซีนรับมือ โควิด-19  สำหรับประเทศไทย นพ.นคร เปรมศรี  ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า วัคซีนโดยคนไทยพัฒนาที่สำเร็จเป็นรายแรก จะเป็นขององค์การเภสัชกรรม เรียกว่า วัคซีน HXP-GPOVAC ที่ขณะนี้ กำลังรอผลการทดสอบระยะที่ 3  หากผลออกมาดี ก็จะนำขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้  จากนั้นจึงจะผลิตออกมาใช้ได้หลังขึ้นทะเบียน รวมๆแล้วน่าจะได้ใช้ปลายปีนี้ หรืออาจต้นเดือนมกราคม 2567



          สำหรับวัคซีนป้องกันโควิดในประเทศไทยจะนำมาใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น เพราะแม้จะพัฒนามาจากสายพันธุ์เดิม แต่ก็ยังได้ผลดีในการป้องกันความรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง  ผู้สูงอายุที่มีโรคร่วมเมื่อได้รับวัคซีนบูสเตอร์จะลดความรุนแรงได้ ซึ่งทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีผู้ติดเชื้อที่ยังใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคร่วม การฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นน้อยกว่าคนทั่วไป หรือภูมิฯตกเร็วกว่า 



          ดังนั้น วัคซีนที่ไทยพัฒนาก็จะมาใช้ตรงจุดนี้ พร้อมทั้งวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนของไทยก็ยังพัฒนารองรับสายพันธุ์ใหม่ได้ เพราะอนาคตเราไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตอนนี้สายพันธุ์โอไมครอนซึ่งอีก 6 เดือนข้างหน้าอาจเปลี่ยนแปลง การได้ขึ้นทะเบียนตัวแรกก็จะเป็นพื้นฐานในการปรับรองรับสายพันธุ์ใหม่ๆ



          สำหรับ วัคซีนที่คนไทยพัฒนา ยังมีอีก 2 ชนิด ได้ทำการทดสอบในมนุษย์แล้ว ได้แก่



1.วัคซีน ChulaCov19 ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันกำลังรับอาสาสมัครเพื่อทดสอบเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นในระยะที่ 1 วัคซีนในประเทศมีคุณภาพดีและเหมาะกับการศึกษาในมนุษย์



2.วัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax โดยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด และอยู่ระหว่างการเตรียมอาสาสมัครเพื่อศึกษาในระยะที่ 2 



          หากองค์การฯ ผลิตวัคซีนโควิดออกมาแล้ว ในเรื่องแหล่งของงบประมาณการจัดซื้อจะเป็นอย่างไร  นพ.นคร กล่าวว่า  ขึ้นอยู่กับการจัดซื้อว่าจะเป็นวิธีใด หากวิธีเฉพาะเจาะจง และยังใช้ในสภาวะพิเศษอยู่ ก็ซื้อโดยตรงจากงบประมาณ ซึ่งคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคกำลังพิจารณาว่า จะนำเข้าแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคหรือไม่ โดยใช้งบจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ซึ่งก็จะเป็นขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะวัคซีนขององค์การฯ แต่วัคซีนโควิด19 ใดๆก็ตาม จะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาทั้งหมด



          สำหรับกรณีการขยายระยะเวลาการสิ้นสุดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด19 สำหรับประชากรในประเทศไทยจำนวน 60 ล้านโดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. 2565 และโครงการจัดหาวัคซีนโควิด19 สำหรับประชากรในประเทศไทยจำนวน 30 ล้านโดส (Pfizer) พ.ศ.2565  ไปสิ้นสุดโครงการในเดือนมีนาคม 2567 จากเดิมที่สิ้นสุดโครงการ เดือนกันยายน 2566  เนื่องจากการจัดหาวัคซีน AstraZeneca นั้นอยู่ระหว่างรอหนังสือแจ้งยืนยันผลการเจรจาในการขอเปลี่ยนแปลงรายการวัคซีนที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 19.07 ล้านโดสเป็น LAAB ส่วนโครงการจัดหาวัคซีน Pfizer นั้นส่งมอบครบแล้ว แต่อยู่ระหว่างการบริหารจัดการวัคซีนส่วนที่เหลือเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานบริหารจัดการวัคซีน Pfizer (Maroon Cap) ในพื้นที่ต่อไป



 

ข่าวทั้งหมด

X