นายกฯ นัดหารือผู้บริหาร ก.คลัง-ผลหารือ สศช. พิจารณานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต-พักหนี้

29 สิงหาคม 2566, 12:48น.


             การกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง มีรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่าในวันนี้(29 ส.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯได้นัดหารือกับผู้บริหารของกระทรวงการคลัง คาดว่า จะเป็นการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการผลักดันนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท



             ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยผลการหารือของทีมเศรษฐกิจกับนายเศรษฐาว่า เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึก รวมทั้งหารือถึงแนวนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องการจะดำเนินการว่ามีรูปแบบอย่างไร ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการ นายเศรษฐา ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2566 ชะลอตัว และจำเป็นต้องมีมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต



-งบประมาณที่จะนำมาใช้ในมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ต้องไปดูในรายละเอียด ภาระการคลังที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งต้องเป็นการหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน



-มาตรการพักชำระหนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ดูแล เน้นการปรับโครงสร้างหนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ให้ลูกหนี้เกิดพฤติกรรมจงใจเบี้ยวหนี้



-การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จาก 7% เป็น 10% เพื่อหารายได้จัดสวัสดิการรองรับสังคมสูงวัย สศช.ยืนยันว่าเป็นเพียงแนวคิดในงานสัมมนา ที่หยิบยกขึ้นมาพูดคุย สศช.ไม่ได้เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่



            นายดนุชา กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2566 สถานการณ์แรงงานปรับตัวดีขึ้น ผู้ที่มีงานทำมีจำนวน 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.7% ขณะที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 1.06% หรือมีผู้ว่างงาน 4.3 แสนคน



            หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 1 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.6% คิดเป็นมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.6% ต่อจีดีพี เกิดจากการปรับนิยามหนี้ใหม่ กว่า 7 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 4.5% ต่อจีดีพี



            ความสามารถในการชำระหนี้ปรับลดลงเล็กน้อย โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 1.44 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.68% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.62% โดยความเสี่ยงในการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์ ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 1 ปี 2566 หนี้เสียยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มสูงกว่า 30.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน



            ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การหลอกลวงทางโทรศัพท์ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2565 คนไทยต้องรับสายจากมิจฉาชีพสูงถึง 17 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2564 กว่า 165.6% มีมูลค่าความเสียหายกว่า 38,786 ล้านบาท



 



#กระตุ้นเศรษฐกิจ



แฟ้มภาพ 



 

ข่าวทั้งหมด

X