คลัง ชี้แจงเพิ่มเติมคงแวต 7% ไม่ให้กระทบการบริโภค-อำนาจซื้อ

29 สิงหาคม 2566, 10:02น.


             กรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  เสนอรูปแบบการออมสำหรับผู้สูงอายุที่มีหลายรูปแบบ โดยรูปแบบหนึ่งที่มีการเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปสังคม และ สศช. เห็นว่าเป็นแนวทางที่ดี คือ การปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต ร้อยละ 10 จากเดิมร้อยละ 7 โดยในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอีก 3% นั้นจะออกกฎหมายเฉพาะ เพื่อนำเงินที่รัฐเก็บภาษีในส่วนนี้ มาเป็นเงินออมของประชาชนเพื่อใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับประชาชน



             นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า กระทรวงการคลังยังไม่มีนโยบายการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามแนวคิดดังกล่าว



              ล่าสุด เฟซบุ๊ก กระทรวงการคลัง : Ministry of Finance  รายงานว่า นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ข้อเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาใช้เป็นเงินออมในวัยเกษียณให้ประชาชน เนื่องจาก ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ทำให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง



               ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน และพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดว่า การกันเงินรายได้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนําไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่อไป



                นายวุฒิพงศ์ กล่าวถึง สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 คาดว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานได้คลี่คลายลง ประกอบกับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการและสูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อนถึงร้อยละ 7.6 และ 5.2 ตามลำดับ ดังนั้น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน อันจะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง



                  ฐานะการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่มั่นคงและเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมถึงการจัดสรรสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีกองทุนผู้สูงอายุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และสนับสนุนผู้สูงอายุ รวมถึงมีการเก็บเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและยาสูบในอัตราร้อยละ 2 โดยปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม



 



#ภาษีมูลค่าเพิ่ม



แฟ้มภาพ



CR:ขอบคุณข้อมูล กระทรวงการคลัง:Ministry of Finance



 

ข่าวทั้งหมด

X