เสถียรภาพรัฐบาลและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนยังคง wait and see นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แต่สิ่งสำคัญ คือ เสถียรภาพของรัฐบาลที่จะต้องมีเสียงเพียงพอและเข้มแข็ง เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความต่อเนื่อง หากพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มั่นใจว่า ประเทศน่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ได้ในกรอบของช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 66 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ช้าเกินไป มองว่า ไทยควรมีรัฐบาลชุดใหม่ให้เร็วที่สุด
สำหรับสเปคของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ภาคเอกชนอยากเห็น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเป็นที่ยอมรับจากทุกภาคส่วน ว่าจะสามารถนำเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ตอบโจทย์ประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด
ปัจจุบันประเทศไทยมีประเด็นความท้าทายสำคัญหลายประการ ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวขึ้น การลงทุนยังคง wait and see ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอน และมีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง รวมถึงภาวะสงครามที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นความเสี่ยงรอบด้านของเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญอยู่
ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มองว่า กำลังซื้อของประชาชนที่สะท้อนจากการซื้อสินค้าคงทนตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย. 66 มีแนวโน้มลดลง เป็นสัญญาณว่าประชาชนไม่มีรายได้ และระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทันที เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงที่ผ่านมา เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อดึงกำลังซื้อของประชาชนให้กลับมา
ภาคเอกชนมีข้อแนะรัฐบาลใหม่ ดูแลเศรษฐกิจให้ครอบคลุม 3 ระยะ คือ
1. การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนภาคเอกชนทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า ที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเผชิญกับปัญหาภาคการส่งออกที่ชะลอตัวติดลบต่อเนื่อง 8-9 เดือน พร้อมเร่งเสริมความโดดเด่นภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ จากต่างชาติ
2. ระยะกลางต้องวางแผนและป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งอย่างจริงจัง ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ประเมินว่าปัญหาภัยแล้งจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท รัฐบาลใหม่จึงจำเป็นต้องเตรียมแผนบริหารจัดการทั้งพื้นที่ และการกักเก็บน้ำที่เหมาะสม
3. ในระยะยาว ปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจของทุกภาคส่วน ถึงประเด็นการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมแนวทาง BCG และ ESG ให้มีรูปแบบและมาตรฐานสากล
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ 3.0-3.5% มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะเติบโตอย่างเต็มที่ จากแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
#กระตุ้นเศรษฐกิจ
แฟ้มภาพ