พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีการปรับเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุ โดยระบุว่า การจ่ายเดิมนั้น กรมบัญชีกลางเห็นว่า ผู้มีรายได้อื่นๆ อย่างผู้ที่ได้รับเงินบำนาญ หากมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ภายหลัง ก็ต้องมีการเรียกเงินคืน ซึ่งจะทำให้มีปัญหา จนรัฐบาลต้องจ่ายเงินคืน จากนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ผลการวินิจฉัยตีความ ระบุว่าระเบียบที่ออกนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนจะต้องมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ รัฐบาลต้องช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น การที่กำหนดว่าจะให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
พล.อ.อนุพงษ์ ย้ำว่า การให้เบี้ยผู้สูงอายุ ต้องทั่วถึงและเป็นธรรม โดยมีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เป็นผู้กำหนดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นธรรม จะให้จ่ายแบบทั่วถึง หรือกำหนดเป็นกลุ่ม หรือคนมีรายได้มาก อาจไม่ต้องจ่ายก็ได้ ซึ่งระเบียบนี้ก็เปิดทางไว้ หากคณะกรรมการผู้สูงอายุยังไม่กำหนด ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่จะอายุครบ 60 ปีใหม่ สามารถจ่ายตามเกณฑ์เดิมได้
พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอำนาจจะพิจารณา เพราะผูกพันกับรัฐบาลใหม่แล้ว เนื่องจากใช้งบประมาณมาก แต่รัฐบาลได้ทำหนทางไว้หมดแล้ว รัฐบาลใหม่เข้ามา จะทำอย่างไรก็สามารถทำได้หมด ดังนั้น ขณะนี้ ผู้สูงอายุเดิมรับเงินอย่างไรก็รับไปตามเดิม ผู้สูงอายุใหม่ก็สามารถรับได้ตามเกณฑ์เดิม ตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
พล.อ.อนุพงษ์ ยังขอให้ประชาชน ไม่ต้องกังวล เพราะถ้ามองในขณะนี้ ประชาชนจะได้ประโยชน์ทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญ เป็นธรรมและมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซึ่งหนทางที่รัฐบาลเตรียมไว้ จะออกทางไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
#เบื้ยผู้สูงอายุ