นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กรณีมีข่าวว่า พบโควิด-19 สายพันธุ์ EG.5.1 ที่แพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ย่อยโอไมครอน XBB.1.16 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โควิดสายพันธุ์ EG.5.1 หรือ XBB.1.9.2.5.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน XBB.1.9.2. ซึ่งมีตำแหน่งกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม คือ กรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 456 เปลี่ยนจากฟีนิลแอลานีน เป็น ลิวซีน และ กรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 52 เปลี่ยนจากกลูตามีน เป็น ฮีสติดีน ทั้งนี้ อัตราการแพร่เชื้อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในภาพรวมทั่วโลก พบว่า สูงกว่าสายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16 ร้อยละ 45
ซึ่งสถานการณ์ของสายพันธุ์ EG.5.1 ทั่วโลก อ้างอิงจากฐานข้อมูลกลางจีเสด (GISAID) ข้อมูลล่าสุดวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 แบ่งตามภูมิภาค เป็นดังนี้ เอเชีย 1,385 ราย , ยุโรป 203 ราย , โอเชียเนีย 35 ราย , อเมริกาเหนือ 360 ราย , อเมริกากลาง 4 ราย และอเมริกาใต้ 1 ราย
โดยในภูมิภาคเอเชีย พบรายงานสายพันธุ์ EG.5.1 จาก 11 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง อิสราเอล ลาว อินโดนีเซีย ไต้หวัน ไทย และ อินเดีย ตามลำดับ โดยในประเทศไทย พบสายพันธุ์ EG.5.1 จำนวน 5 ราย มีรายงานครั้งแรกในเดือนเมษายน 2566 จำนวน 1 ราย , เดือนพฤษภาคม 2566 จำนวน 3 ราย และเดือนมิถุนายน 2566 จำนวน 1 ราย แต่ยังไม่พบข้อมูลเรื่องการเพิ่มความรุนแรงของโรค ซึ่งสถานการณ์การระบาดในประเทศไทย ภาพรวมขณะนี้ สายพันธุ์ XBB.1.16 ยังเป็นสายพันธุ์หลัก
นพ.ศุภกิจ ระบุว่า ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการติดตามโอไมครอน จำนวน 8 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูล การเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่ สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ XBB.1.5 และ XBB.1.16 และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง ได้แก่ BA.2.75, CH.1.1, XBB , XBB.1.9.1 , XBB.1.9.2 และ XBB.2.3 ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อก่อโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต
#โควิดสายพันธุ์ใหม่