ครบรอบ 72 ปีการท่าเรือแห่งประเทศไทย เน้นนโยบาย 3T มุ่งสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำของโลก

16 พฤษภาคม 2566, 12:22น.


          วันนี้ (16 พ.ค.66)  การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จัดพิธีครบรอบ 72 ปี วันคล้ายวันสถาปนาการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยนายปริญญา แสงสุวรรณ ประธานกรรมการ กทท.เป็นประธานในพิธี  และมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. คณะผู้บริหาร และพนักงาน กทท. หน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ผู้นำชุมชน ผู้เช่าพื้นที่ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธี  โดยมีการมอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศล จำนวนกว่า 3,000,000 บาท  รวมทั้งมอบรางวัลคนทรงคุณค่า แก่พนักงาน กทท. 


 




         นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ระบุว่า ตลอด 72 ปีที่ผ่านมา  การท่าเรือแห่งประเทศไทย มีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจ ในฐานะเป็นประตูการค้าหลักและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ  ด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์และบริหารจัดการท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  โดยหลังจากนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย จะมุ่งเน้นนโยบายพัฒนา 3T คือ การลดปัญหาการจราจรติดขัด (Traffic) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนธุรกิจการขนส่งสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) และสินค้าผ่านแดน (Transit) เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งสินค้าและระบบโลจิสติกส์ทั้งภายในและต่างประเทศ  รวมทั้งชูนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมท่าเรือสีเขียว เพื่อพัฒนาท่าเรือสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งขณะนี้ท่าเรือกรุงเทพได้นำรถยกไฟฟ้า (Electric Forklift) จำนวนหนึ่งมาใช้ปฏิบัติงาน พร้อมกับการพัฒนาพื้นที่ 90 ไร่ บริเวณท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นจุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) เพื่อลดปัญหาการจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ 


          นอกจากนี้ยังมีโครงการช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการมอบทุนการศึกษายั่งยืนของ กทท. , โครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ของชาวชุมชนโดยรอบ กทท. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค,โครงการสร้างฝาย “ฅน...เก็บน้ำให้แผ่นดิน” , โครงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3,โครงการปลูกป่าชายเลนและอนุรักษ์ป่าบริเวณโดยรอบท่าเรือระนองและท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งถือได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำกำไรเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคมเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืน


 




          รวมทั้ง ยังมีโครงการที่ยังสานต่ออีกหลายโครงการ ได้แก่ การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ , การขับเคลื่อนพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ในจังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศ , การศึกษาโมเดล Super Port การร่วมมือกับท่าเรือเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งหลากหลายรูปแบบ , รวมถึงการพัฒนา Land Bridge เชื่อมสองฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามันที่จังหวัดระนองและชุมพรให้เป็นรูปธรรม  และโครงการพัฒนาท่าเรือ แหลมฉบังระยะที่ 3 ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก


          ด้านผลประกอบการ กทท.ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม 2566-มีนาคม 2566) แม้ปริมาณเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง รวมทั้งสินค้าผ่านท่าและตู้สินค้าผ่านท่าจะลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน  แต่สถิติปริมาณสินค้ารถยนต์ผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ปีงบประมาณ 2563-2566 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง    คาดว่าตลอดทั้งปีจะมีปริมาณการขนส่งรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านคัน ซึ่งจะเป็นสถิติที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ เป็นผลจากการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากได้รับความนิยมจากผู้บริโภค


         นอกจากนี้ กทท. ยังมีรายได้จากการประกอบการในส่วนอื่นๆ ทำให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ กทท. ระยะเวลา 6 เดือน มีรายได้สุทธิ 7,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.12% กำไรสุทธิ 3,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.41% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยตลอดปีงบประมาณ 2566 ตั้งเป้ากำไรประมาณ 6,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ 72 ปี 


 




          กทท. ยังเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้นำส่งรัฐสูงสุด 10 อันดับแรก ซึ่งปัจจุบัน กทท. นำเงินส่งรัฐ 70% ของกำไรสุทธิเพื่อคำนวนนำส่งรัฐ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา กทท. นำเงินส่งรัฐ ทั้งสิ้น 4,879  ล้านบาท และในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง (ปี 2555 - 2565) กทท.นำเงินส่งรัฐไม่น้อยกว่า 48,300 ล้านบาท เพื่อเป็นรายได้นำส่งแผ่นดิน อันเป็นกลไกในการช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการคลังของประเทศต่อไป


 


#72ปีการท่าเรือแห่งประเทศไทย


#พัฒนาท่าเรือไทย
ข่าวทั้งหมด

X