ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC รายงานว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย XBB.1.16 หรือสายพันธุ์ "อาร์คทูรัส (Arcturus)” กำลังแพร่ระบาดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ โดยครองสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 12 ของผู้ป่วยโควิดรายใหม่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ในสัปดาห์ก่อนหน้า
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า สัดส่วนนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และอาจทำให้ XBB.1.16 กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐฯ แต่ในขณะนี้ สายพันธุ์ XBB.1.15 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอน ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายมากเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 68.8 ของผู้ป่วยโควิดรายใหม่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯ เนื่องจากความสามารถที่แพร่กระจายได้ง่าย
ขณะที่ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล เปิดเผยถึงกรณีที่องค์การอนามัยโลก แถลงเตือนให้ทั่วโลกเฝ้าระวังโอไมครอนลูกผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5, XBB.1.16 และ XBB.1.9 อย่างใกล้ชิด โดย ดร.มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หัวหน้าด้านเทคนิคขององค์การอนามัยโลกด้านโควิด-19 แถลงอัปเดตเกี่ยวกับโอไมครอนสายพันธุ์ลูกผสม โดยเน้นที่โอไมครอน 3 สายพันธุ์ลูกผสม ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านการแพร่ระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้ จากการถอดรหัสพันธุกรรมโควิด-19 ทั้งจีโนมในประเทศสหรัฐอเมริกาพบการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ลูกผสม XBB 3 สายพันธุ์ย่อย คือ XBB.1.5, XBB.1.16 และ XBB.1.9.1 คิดเป็นร้อยละ 68.8,11.7 และ 9.0 โดยพบการระบาดรวมคิดเป็นร้อยละ 89.5 ของโควิดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดภายในประเทศ
องค์การอนามัยโลก ย้ำว่าการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดมีความสำคัญสูงสุดในการติดตามการแพร่กระจายของโอไมครอนตระกูล XBB เพื่อสามารถปรับมาตรการด้านสาธารณสุขในแต่ละประเทศได้ทันท่วงทีหากเกิดแพร่ระบาดอย่างฉับพลัน
นอกจากนี้ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ยังระบุว่า ล่าสุด พบเชื้อโควิด-19 โอไมครอนลูกผสม XBB.2.3 หรือ "อะครักซ์" (Acrux) กำลังจะเข้ามาแทนที่โอไมครอน XBB.1.16 โดยสายพันธุ์นี้ พบว่ากำลังแพร่รระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดียและสิงคโปร์ คาดว่าจะมาแทนที่โอไมครอนลูกผสม XBB.1.16 เร็วๆ นี้ สำหรับในสหรัฐอเมริกา เริ่มพบการระบาดของโอไมครอน XBB.2.3 เช่นกัน ส่วนในประเทศไทยเพิ่งพบเพียง 6 ราย
#โควิด19
#โควิดสายพันธุ์ใหม่
CR ขอบคุณภาพและข้อมูล ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล