สหรัฐฯ-เกาหลีใต้ ประกาศ ปฏิญญาวอชิงตัน เสริมเกราะป้องกันภัยจากเกาหลีเหนือ

          การเดินทางเยือนสหรัฐฯในรอบ 12 ปี ของประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล ของเกาหลีใต้ ต่อจากประธานาธิบดีอี มยอง-บัก เมื่อปี 2554

         ทำเนียบขาว รายงานว่า ประธานาธิบดีไบเดน ประชุมทวิภาคีกับประธานาธิบดียุน เพื่อหารือเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ร่วมกันของพันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้ที่รักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในอินโดแปซิฟิก

         CNN รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี ยุน หารือร่วมกันที่ทำเนียบขาว พร้อมทั้งประกาศข้อตกลงใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการรุกรานของเกาหลีเหนือ

         สอดคล้องกับ Channelnewsasia รายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า ภายใต้ "ปฏิญญาวอชิงตัน" ฉบับใหม่ สหรัฐฯ จะให้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียดแก่เกาหลีใต้ สหรัฐฯจะส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธไปยังเกาหลีใต้ เพื่อแสดงแสนยานุภาพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แต่นายไบเดน แสดงชัดเจนว่าจะไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ประจำการในดินแดนของเกาหลี

         ในการแถลงข่าวร่วมกัน ผู้นำทั้งสอง ได้ตกลงเกี่ยวกับขั้นตอนในการเสริมสร้างการป้องกันของเกาหลีใต้เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เกิดจากเกาหลีเหนือ  ประธานาธิบดียุน กล่าวว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะปรึกษาหารือทวิภาคีกันทันทีในกรณีที่เกาหลีเหนือโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ และสัญญาว่าจะตอบโต้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และเด็ดขาด โดยใช้กำลังของพันธมิตร ซึ่งรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ

         ประธานาธิบดีไบเดน ย้ำอีกครั้งถึงข้อเสนอของสหรัฐฯ ต่อเกาหลีเหนือในการจัดการเจรจาทางการทูตเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเพิกเฉย การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือต่อสหรัฐฯ หรือพันธมิตรและหุ้นส่วนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และจะส่งผลให้รัฐบาลใดก็ตามต้องยุติการกระทำดังกล่าว เป็นการแจ้งโดยตรงไปยังผู้นำเกาหลีเหนือว่า สหรัฐฯ จะปกป้องพันธมิตร

         ขณะที่ ทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีไบเดน ระบุว่า เป็นเรื่องดีที่ได้พบประธานาธิบดียุนอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างชาติของเราเป็นเรื่องราวแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และภูมิใจในความสัมพันธ์ที่เป็นพันธมิตรยาวนาน 70 ปี ไม่มีอะไรไกลเกินเอื้อมเมื่อประเทศชาติและประชาชนของเรารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

#สหรัฐฯ

#เกาหลีใต้

CR:CNN,BBC, Channelnewsasia,President Biden,The White House