นายมัตต์ ซิมป์สัน นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจากบริษัทซิตี้ อินเด็กซ์ (City Index) เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่าข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ชี้ว่า เศรษฐกิจจีน เติบโตร้อยละ 4.5 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งเกินคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 4 นับว่า เป็นการฟื้นตัวเร็วมาก เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตร้อยละ 2.9 ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เนื่องจากการยกเลิกนโยบายลดโรคโควิด-19 เหลือศูนย์ปลายปีที่แล้ว ทำให้ธุรกิจของจีนกลับมาเปิดบริการได้ตามปกติ ทั้งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น ถึงแม้ว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจจะไม่สดใจ ไม่คงเส้นคงวาในปีนี้
นายซิมป์สัน คาดว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกที่ออกมาดีเช่นนี้จะทำให้ประเทศจีนมีโอกาสสูงจะบรรลุเป้าที่รัฐบาลจีนตั้งไว้คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 5 ในปีนี้ แต่หลายคนมองว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนยังคงกระจุกเฉพาะบางภาคธุรกิจ ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ค่าบริการและค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณูปโภคเติบโต แต่อีกด้านหนึ่ง ราคาสินค้ายังคงตรึงไว้เท่าเดิม ไม่มีการปรับเพิ่ม อีกทั้งเงินฝากธนาคารมีเพิ่มขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสงสัยว่า ผู้บริโภคอาจจะยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน ซึ่งอาจจะมีผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนไม่เติบโตอย่างเต็มที่
เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.66) ธนาคารกลางจีน ประกาศประกาศอัดฉีดเงินจำนวน 1.7 แสนล้านหยวน หรือ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคาร โดยดำเนินการผ่านโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่แล้ว เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอในระบบธนาคารของจีน จะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ส่งเสริมการจ้างงาน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบายกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนเช่นกัน
เมื่อปี 2565 จีดีพีของจีน เติบโตร้อยละ 3 ต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี เนื่องจาก นโยบายควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงการลดโรคโควิด-19 เหลือศูนย์ การล็อกดาวน์และการปิดประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
#จีน
#จีดีพีไตรมาสแรก
แฟ้มภาพ