เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค (JPMorgan Chase & Co) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.66) มีผลกำไรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 52 โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและการที่มีเงินฝากเพิ่มขึ้น เมื่อลูกค้าย้ายเงินฝากจากธนาคารขนาดเล็กไปยังธนาคารยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley Bank) และธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) ล้มละลายในเดือนมีนาคม
เจพีมอร์แกน รายงานกำไร 12,620 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566 เทียบกับระดับ 8,280 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเมื่อเทียบเป็นรายหุ้น เจพีมอร์แกนมีกำไร 4.10 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.63 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของเจพีมอร์แกนอยู่ที่ 20,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ยอดเงินฝากเพิ่มขึ้น 37,000 ล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 2,400,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566 เพิ่มความแข็งแกร่งของธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์
นักวิเคราะห์ ระบุว่า จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ช่วยลดความกังวลในระบบธนาคารลงได้ ผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มีเงินฝากเพิ่มขึ้น 50,000 ล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม แม้ว่าส่วนอื่นๆ ของอุตสาหกรรมจะลดลงร้อยละ 3 ในไตรมาสแรก โดยเงินฝากในธนาคารขนาดใหญ่ลดลงมาหลายไตรมาส เนื่องจากผู้บริโภคใช้เงินออมในช่วงที่มีโรคระบาดรุนแรง ภาคธุรกิจต่างๆ ดึงเอาเงินสดที่เก็บไว้มาชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากนี้การล้มละลายของธนาคารขนาดเล็ก 2 แห่งในเดือนมีนาคม ยังเกิดจากการที่ลูกค้าย้ายเงินฝากไปยังธนาคารขนาดใหญ่ด้วยความเชื่อมั่นที่ว่า “ใหญ่เกินไปที่จะล้มเหลว” และมีรัฐบาลหนุนหลัง
…
#เจพีมอร์แกน
#ระบบธนาคารสหรัฐฯ
#ผลประกอบการ