ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนมี.ค.66 อยู่ที่ระดับ 53.8 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 37 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.63 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 48.0 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 50.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 62.5
โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมี.ค. ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งการท่องเที่ยวของคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างมีนัยสำคัญ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. กลับมาดีสุดในรอบ 3 ปี ใกล้กับช่วงก่อนโควิด สะท้อนว่าคนกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีการซื้อสินค้าคงทนถาวร (รถยนต์) เพิ่มขึ้น มีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ซึ่งในปีนี้ ภาคท่องเที่ยวจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งในส่วนของไทยเที่ยวไทย และต่างชาติเที่ยวไทย คาดว่าปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราวร้อยละ 3.0-3.5 การที่เศรษฐกิจจะโตได้มากกว่าร้อยละ 3.5 อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะมีสุญญากาศในไตรมาส 3 - ไตรมาส 4 (ช่วงมีรัฐบาลใหม่ และการจัดทำงบประมาณ) การลงทุนอาจจะยังไม่โดดเด่น โอกาสที่เศรษฐกิจจะโตมากกว่า ร้อยละ 3.5 เป็นไปได้น้อย ช่วงไตรมาส 3-4 ยังขาดกลไกในการขับเคลื่อน เพราะถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้น ก็ต้องใช้พลังจากการท่องเที่ยวอย่างเดียว การส่งออกคงยังช่วยไม่ได้มาก
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูง รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินของโลก และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 37 เดือนก็ตาม แต่ความเชื่อมั่นก็ยังไม่โดดเด่นมากนัก เนื่องจากประชาชนที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ ยังมีการใช้จ่ายไม่มากนัก เพราะมองว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโตแบบ K shape
"คนที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 20,000 บาท ยังใช้จ่ายน้อย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพรับจ้างรายวัน และเกษตรกร ซึ่งมองว่าแม้เศรษฐกิจจะฟื้น แต่ยังไม่กลับมาดีอย่างทั่วถึง"
สิ่งที่จะต้องจับตา คือ ในเดือนเม.ย. และพ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่จะมีเม็ดเงินจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งลงไปในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับในเดือนเม.ย. เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะมีเม็ดเงินในการจับจ่ายใช้สอยมากเป็นพิเศษในช่วงนี้
ขณะเดียวกัน หลังจากการเลือกตั้งในเดือนพ.ค.ผ่านไปแล้ว จะต้องรอดูว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะผ่านไปด้วยดีหรือไม่ ไม่มีการเมืองนอกสภา รวมทั้งความชัดเจนของการมีรัฐบาลใหม่ ตลอดจนนโยบายต่างๆ ที่จะแถลงต่อสภา รวมถึงการขับเคลื่อนงบประมาณด้วย
#เศรษฐกิจไทย