นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชี้แจงกรณีการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ที่เปิดให้ลงทะเบียนวันสุดท้าย เมื่อวานนี้ (9 เม.ย.) เวลา 24.00 น. แต่ระบบล่มตั้งแต่เวลาประมาณ 20.00 น. เนื่องจากมีผู้เข้าไปลงทะเบียนจำนวนมาก ซึ่งศักยภาพของระบบ สามารถรองรับได้ 4,000 คนต่อวินาที จึงต้องขอโทษประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวก และได้ประสานไปที่สำนักทะเบียนแล้วว่าในกรณีประชาชนที่เข้าไปในระบบและยังกรอกข้อมูลยังไม่สมบูรณ์ในช่วงที่ระบบล่ม สำนักทะเบียนสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ และยังคงให้สิทธิในการลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้ากับประชาชนกลุ่มนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาวิธีอำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้ลงทะเบียนอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะขยายเวลาลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าหรือไม่
สำหรับจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่ 25 มีนาคม-9 เมษายน 2566 ข้อมูลล่าสุด เวลา 17.00 น. วันที่ 6 เม.ย. 2566 รวมทั้งสิ้น 2,153,450 คน แบ่งเป็นผู้ต้องการใช้สิทธิลงคะแนนในเขตเลือกตั้ง 17,798 คน นอกเขตเลือกตั้ง 2,024,583 คน และนอกราชอาณาจักร 111,069 คน
กรณีนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย แจกเงินดิจิตัล 10,000 บาท นายแสวง ระบุว่า นโยบายหาเสียงเกี่ยวกับประชานิยมแบบนี้ไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ แต่ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2560 และมาตรา 74 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ. 2561 กำหนดให้ทุกพรรคการเมืองที่มีนโยบายประชานิยม ต้องแจ้งรายละเอียดของนโยบายให้ กกต.ทราบ ได้แก่ ชื่อนโยบาย, ที่มาและวิธีการหางบประมาณมาใช้ในนโยบาย,ประโยชน์ที่จะได้รับและความคุ้มค่า,ความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดจากการใช้นโยบาย เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนใช้พิจารณาประกอบการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้มีพรรคการเมืองที่ส่งนโยบายมาให้ กกต.แล้ว 6 พรรค ส่วนพรรคเพื่อไทย ยังส่งไม่ครบ ซึ่งในวันนี้จะส่งหนังสือแจ้งไปยังทุกพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ให้ส่งรายละเอียดนโยบายให้ครบภายใน 7 วัน หากไม่แจ้งรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะปฎิบัติให้ถูกต้อง หรืออาจเข้าข่ายผิดกฎหมายข้ออื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
เลขาฯ กกต.ยังยอมรับว่า ขณะนี้ยังมีความสับสนในเรื่องของบัตรเลือกตั้งและการนับคะแนน โดยในส่วนของบัตรเลือกตั้ง 2 ประเภท คือบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต กับบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งตามกฎหมาย กำหนดให้บัตรสองประเภทต้องแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ สี ขนาดและองค์ประกอบของบัตร รวมทั้งกำหนดว่าบัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตให้มี 2 ช่อง ส่วนบัตรเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้มีโลโก้และชื่อพรรค จึงต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งหากนำโลโก้หรือชื่อพรรคใส่ในบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ก็จะทำให้ประชาชนสับสน และกกต.อาจถูกร้องว่าไม่ทำตามกฎหมาย ส่วนเรื่องเบอร์ของผู้สมัคร 2 ประเภทที่ต่างกัน กกต.ก็จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในวันเลือกตั้ง คือ ให้มีชื่อผู้สมัคร ชื่อพรรค โลโก้พรรค และหมายเลขของผู้สมัคร ติดไว้ที่หน้าหน่วยเลือกตั้งและหน้าคูหาเลือกตั้งด้วย ซึ่งคาดว่าบัตรเสียจะน้อยลง
ส่วนการรายงานผลนับคะแนนแบบไม่เป็นทางการ เลขาฯ กกต.ยืนยันว่า จะมีการรายงานผลทันทีหลังนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งเสร็จ จากนั้นจะนำใบรายงานผลคะแนน หรือ ใบ 5/18 ไปติดหน้าหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งจะระบุรายละเอียดทั้งคะแนนของผู้สมัครทุกคนในเขตนั้น รายงานจำนวนผู้มาใช้สิทธิ บัตรดี บัตรเสีย เป็นต้น หลังจากนั้น คะแนนของทุกหน่วยเลือกตั้ง จะส่งเข้าสู่ระบบในเวลาไม่เกิน 19.00 น. และจะทราบผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ในเวลาไม่เกิน 22.00 น. ซึ่ง กกต.ยืนยันว่า ระบบการนับคะแนนจะรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่นำคะแนนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ผู้สมัคร พรรค สื่อมวลชน หรือประชาชน สามารถตรวจสอบความถูกต้องด้วยการเทียบใบ 5/18 ที่หน่วยเลือกตั้ง กับคะแนนในระบบได้
การลงคะแนนนอกราชอาณาจักร ขณะนี้มีการซักซ้อมขั้นตอนต่างๆ กับกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลในประเทศต่างๆ ที่จัดการเลือกตั้ง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย ส่วนการนำบัตรเลือกตั้งกลับมานับพร้อมกับบัตรที่อยู่ในประเทศไทย ก็มีการซักซ้อมแล้วเช่นกัน ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น กกต.ได้ถอดบทเรียนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาต่างๆแล้ว ซึ่ง กกต.ตั้งเป้าว่า จะมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
#ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า