สำนักวิจัยCIMBTปรับลดคาดการณ์GDPไทยเป็น 3.3% เหตุความผันผวนเศรษฐกิจโลกกระทบส่งออก

09 เมษายน 2566, 20:25น.


          ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.4 เป็นร้อยละ 3.3 หลังจากที่เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ขยายตัวที่ระดับร้อยละ 2.6 แม้ว่าในปีนี้จะสามารถเร่งขึ้นมาได้จากการท่องเที่ยวแต่ก็ต้องเผชิญความผันผวนจากเศรษฐกิจและการเงินโลกที่กระทบการส่งออก



          กำลังซื้อในประเทศน่าจะขยายตัวได้ดีตามการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร อาหารและเครื่องดื่ม ขนส่ง และค้าปลีกค้าส่ง แต่หากเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อคนไทยทั่วไป เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ การศึกษาและสุขภาพ อาจเติบโตได้แต่ไม่โดดเด่น นอกจากนี้ ให้รอดูยอดการขายรถยนต์ที่หดตัวในปีก่อนว่าจะฟื้นขึ้นได้มากน้อยเพียงไร



          สำนักวิจัยฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่า GDP มาโดยตลอด มาปีนี้น่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.5 สะท้อนว่าการใช้จ่ายของครัวเรือนจะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากภาคการท่องเที่ยวที่สนับสนุนภาคบริการ แต่ไม่สามารถคาดหวังมากกับกำลังซื้อระดับล่าง เพราะรายได้ภาคเกษตรที่อ่อนแอ แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นมาบ้าง ช่วยพยุงกำลังซื้อได้ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า แต่จากปัญหาเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือนสูงที่ยิ่งได้รับแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น น่าจะกระทบกำลังซื้อต่อในช่วงไตรมาสสอง



          แม้ว่าในช่วงไตรมาสสองอาจมีแรงส่งจากกิจกรรมการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม โดยเฉพาะเงินที่จะสะพัดเข้าชุมชนต่างจังหวัด เข้าถึงกลุ่มแรงงานรายได้น้อย ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น แต่ไม่มากพอจะสร้างงานและรายได้อย่างยั่งยืน เพียงประคองตัวในช่วงรอจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้นและกระจายไปในหลากหลายพื้นที่



          ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง จะมาจากการล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล กระทบงบประมาณรายจ่ายที่นำมาใช้ไม่ทันภายในวันที่ 1 ตุลาคม รวมถึงการลงทุนภาครัฐเติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า และเอกชนอาจเลื่อนการลงทุนการก่อสร้างโครงการใหม่ น่าจะมีเพียงการก่อสร้างคอนโดแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่พอจะประคองตัวได้จากความต้องการของคนในประเทศที่เอื้อมถึงและเป็นอุปสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่การเก็งกำไร ส่วนการนำเข้าเครื่องจักรสำหรับโครงการใหม่ก็อาจเติบโตน้อยกว่าคาดไว้ก่อนหน้าตามเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอในสหรัฐและยุโรป อีกทั้งปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงขึ้น กดดันภาคการลงทุนของไทยปีนี้เติบโตช้ากว่าคาด สิ่งที่พอหวังได้ คือการย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากปัญหาสงครามการค้านี้



          ภาคการส่งออกมีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวราวร้อยละ 2.0 ในรูปดอลลาร์สหรัฐ หลักๆมาจากวัฎจักรระยะสั้นของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นขาลง โดยเฉพาะกลุ่มฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ หลังครัวเรือนในสหรัฐและยุโรปสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากจากการระบาดโควิดก่อนหน้านี้จนเกิดกระแสทำงานที่บ้าน (WFH) ขณะที่กำลังซื้อสินค้ากลุ่มอื่นๆ เช่นยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเกษตรแปรรูปและอาหารแปรรูปก็ยังอ่อนแอ แต่ไทยน่าจะยังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากรายได้จากการท่องเที่ยวที่ดีกว่าคาด คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะสูงถึง 28 ล้านคน จากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม รัสเซีย ยุโรป สหรัฐ แต่ฝั่งเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจากจีนอาจฟื้นตัวช้า แต่น่าจะกลับมามากขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี ช่วงไตรมาสสองนี้เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว อาจเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้คึกคักมากเทียบช่วงไตรมาสแรก



          สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สำนักวิจัยฯ มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งไปสู่ระดับร้อยละ 2.0 ต่อปี ในรอบการประชุมวันที่ 31 พฤษภาคม เนื่องจากในการประชุมรอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางกนง. มีมุมมองห่วงปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาเสถียรภาพการเงินของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบหลังธนาคารบางแห่งในสหรัฐและยุโรปมีปัญหา



          เดิมคาดว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อหวังให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีกว่านี้ หลังแรงกดดันจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐได้ลดลงหลังมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐใกล้สิ้นสุดรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมและนักลงทุนคาดว่าสหรัฐอาจกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ เดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อของไทยได้ปรับลดลงได้ดี โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่ย่อลงตามความเสี่ยงอุปสงค์ที่ชะลอตัว แต่ในช่วงต้นเดือนเมษายน ทิศทางอัตราเงินเฟ้ออาจไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วเหมือนที่คาดก่อนหน้าจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวสูงขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งน่าจะมีผลให้ทางกนง. ยังจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีกครั้ง



          ด้านมุมมองเงินบาท มีโอกาสที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสสองตามความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ประกอบกับช่วงไตรมาสสอง มักจะเห็นเงินทุนไหลออกในรูปเงินปันผลที่ถูกโอนไปต่างประเทศ และอาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลต่อเนื่องในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี สำนักวิจัยฯคาดว่าเสถียรภาพตลาดเงินตลาดทุนน่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะหลังมีความชัดเจนในการคงอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยที่จะมากขึ้น โดยเรามองเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าในระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปีนี้



...



#คาดการณ์จีดีพี



#CIMBT

ข่าวทั้งหมด

X