สาธารณสุขของจีน ปกป้องการค้นหาแหล่งที่มาของไวรัสโควิด-19 และค้านการแสดงความเห็นของนพ.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ที่ว่าจีนควรมีการแบ่งปันข้อมูลทางพันธุกรรมไวรัสของผู้ป่วยรายแรกที่พบในเมืองอู่ฮั่นเมื่อปลายปี 2562 โดยย้ำว่า จีนมีข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 มากกว่าที่มีการเผยแพร่
นายเสิ่น หงปิง รองผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ ซีดีซี ของจีน กล่าวว่า ความเห็นขององค์การอนามัยโลกถือเป็นการละเมิดและไม่เคารพ เพราะเป็นความพยายามใส่ร้ายป้ายสีจีน ทำให้เรื่องโควิด-19 กลายเป็นเรื่องการเมือง ยืนยันว่า ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ จีนมีการแบ่งปันผลการวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกอยู่เสมอ
ประเด็นต้นกำเนิดของโควิด-19 ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันทั้งในแวดวงวิทยาศาสตร์และการเมือง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าเป็นการติดต่อจากสัตว์สู่มนุษย์ที่ตลาดในเมืองอู่ฮั่น แต่เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องทดลอง และศูนย์เก็บเชื้อไวรัสของจีน ทำให้มีข้อสงสัยว่า เชื้อไวรัสอาจรั่วไหลออกมาจากห้องทดลอง
สำหรับข้อมูลทางพันธุกรรมที่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกอ้างถึง เป็นรายงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบที่ตลาดอู่ฮั่นในเดือนมกราคม 2564 และนักวิทยาศาสตร์จีนมีการเผยแพร่ฉบับที่ยังไม่มีการตรวจทานครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565 ซึ่งไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรมที่รวบรวมได้จากที่อู่ฮั่น จากนั้นในเดือนมีนาคม 2566 มีการเผยแพร่ข้อมูลลงในฐานข้อมูลกลางของโคโรนาไวรัส (GISAID) ซึ่งพบว่ามีพันธุกรรมของจิ้งจอกแร็กคูนร่วมอยู่กับอาร์เอ็นเอของไวรัสซาร์ส-โควี-2 เป็นจำนวนมาก และบางส่วนมีพันธุกรรมของมนุษย์ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งหมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จิ้งจอกแร็กคูนจะติดเชื้อโควิดจากค้างคาวแล้วมีการกลายพันธุ์ ทำให้สามารถแพร่เชื้อต่อไปยังมนุษย์ และมีการแพร่ระบาดจากมนุษย์สู่มนุษย์ในที่สุด เป็นการเพิ่มหลักฐานให้กับสมมติฐานว่าโควิด-19 มาจากสัตว์ ไม่ใช่ห้องทดลอง แต่ก็ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า การระบาดมีจุดเริ่มต้นจากที่ใด นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากยังมีข้อสงสัยต่อไปว่า ไวรัสอาจมีจุดเริ่มต้นจากมนุษย์ไปยังจิ้งจอกแรคคูนแล้วกลับมาที่มนุษย์อีกครั้ง
ซีดีซีของจีน ยืนยันว่า นักวิทยาศาสตร์จีนมีการตรวจสอบความเป็นไปได้เรื่องการที่จะมีไวรัสรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ และมีการแบ่งปันงานวิจัยและข้อมูลอย่างเต็มที่โดยไม่มีการปกปิดหรือสงวนลิขสิทธิ์ แต่ยังไม่พบแหล่งที่มาของโควิด-19 ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปี
...
#ไวรัสโควิด
#จีน
#องค์การอนามัยโลก
The State Council Information Office (SCIO)