ปลัดสธ.กำชับเฝ้าระวัง อาการกลุ่มเสี่ยง รับสารกัมมันตรังสีซีเซียม 137

20 มีนาคม 2566, 14:55น.


          กรณีท่อบรรจุสารซีเซียม-137 หายไปจากโรงไฟฟ้าใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี และพบว่ามีการหลอมไปแล้วที่โรงหลอมเขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และจ.ปราจีนบุรี กำลังสอบสวนอย่างใกล้ชิด สาธารณสุขจังหวัด ได้เปิดหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน (อีโอซี) ส่วนหน้าที่จังหวัด เพื่อติดตามสถานการณ์โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพประชาชน ผู้สัมผัส และผู้มีโอกาสสัมผัส รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้ สารกัมมันตรังสีมองไม่เห็น ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่ตรวจจับได้ด้วยเครื่องมือว่า แผ่รังสีหรือไม่ การเกิดพิษขึ้นกับสารแต่ละชนิดที่มีอันตรายแตกต่างกัน ความเข้มข้นสาร ระยะเวลาสัมผัส และระยะห่างในการสัมผัส ก็จะมีความรุนแรงแตกต่างออกไป



          สำหรับอาการมีทั้งแบบเฉียบพลัน เช่น สัมผัสใกล้ชิด อยู่ในระยะที่ไม่ห่างนัก มีตั้งแต่อาการทำให้เซลล์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเซลล์ที่ไปสัมผัส ผิวหนังอาจมีตุ่มพอง ตุ่มน้ำใส เกิดการอักเสบ หรือเนื้อตายได้ถ้าสัมผัสนานๆ หรืออาการทั่วไป เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ท้องเสีย อุจจาระร่วง ส่วนผลระยะกลาง และระยะยาว ส่วนใหญ่สารกัมมันตรังสีจะไวต่อเซลล์ที่มีการแบ่งตัว เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเส้นผม



          ดังนั้น จะมีการเฝ้าระวังเชิงรุกใน 3 กลุ่มนี้ คือ 1.กลุ่มมีอาการทางผิวหนังและเนื้อเยื่อ 2.กลุ่มอาการทั่วไป คลื่นไส้อาเจียน และ 3.อาการผิดปกติผิดสังเกต จะมีการลงรายละเอียด เช่น คนมีเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติจำนวนมาก ก็ให้ไปสอบสวนสาเหตุร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

          นอกจากนั้น จะมีการขีดวงผู้เกี่ยวข้องคล้ายเวลาเกิดโรคติดต่อโรคระบาดต้องตีวงใครเสี่ยงสูงสุด ต่ำสุด ส่วนที่กังวลว่าจะกระจายออกไปไกลนอกจังหวัดนั้น ต้องประสานข้อมูลสำนักงานปรมาณูฯ ตรวจสอบ ว่าตัวสารพิษแหล่งก่อเกิดปัญหาขอบเขตอยู่แค่ไหน กระจายตรงไหนอย่างไร แต่อย่างน้อยโดยหลักๆ คือ



1.คนในโรงงานกับละแวกใกล้เคียง ใครสัมผัสกี่คน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด ต้องมีการตรวจสุขภาพร่างกายให้ครบถ้วนอย่างใกล้ชิด โดยมีการตรวจสุขภาพทั่วๆ ไป สารปนเปื้อนมีหรือไม่ เช่น ตรวจหาสารซีเซียมในปัสสาวะ เป็นต้น กำลังประสานใกล้ชิดกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งมีห้องปฏิบัติการในการตรวจ สธ.จะระดมผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ต่อไป



2.บริเวณอำเภอนั้นๆ ให้ดูอาการตนเองมีอาการเกี่ยวข้องไหม และ



3.ใน จ.ปราจีนบุรี เบื้องต้นหลังจัดระบบเฝ้าระวังยังไม่มีอาการผิดปกติใน 3 กลุ่ม แต่คงไปเจาะข้อมูลให้ละเอียดขึ้น ซึ่งหลังจากวันนี้เหตุการณ์ชัดขึ้น ประชาชนตื่นตัวมากขึ้นก็คงต้องทบทวนว่า ระบบเฝ้าระวังเรามีความไวเพียงพอหรือไม่ เพื่อตรวจจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ตอนนี้ต้องปูพรมลงไปตรวจสอบให้แน่ชัดโดยเฉพาะบริเวณละแวกใกล้เคียงโรงงาน



          ทั้งนี้ จะเฝ้าระวังจนกว่าเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ หรือสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิสูจน์ทราบได้ว่ากัมมันตรังสีหมดไปหรือยัง หรือถูกเก็บเรียบร้อยหรืออยู่ในระยะปลอดภัยหรือยัง เหมือน PM 2.5 ต้นเหตุคือแหล่งเกิดสารพิษ ก็ต้องมีการกำจัดหรือทำให้หมดสภาพจึงถือว่าปลอดภัย



          ด้านระยะเวลาคงอยู่ของซีเซียม-137 นพ.โอภาส กล่าวว่า ซีเซียม-137 มีครึ่งชีวิต 30 ปี คือ กว่าจะสลายตัวเหลือครึ่งเดียวใช้เวลา 30 ปี ไม่ว่าจะปนเปื้อนอยู่ที่ไหนทั้งสิ่งแวดล้อมหรือร่างกาย หากเทียบเคียงกับเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อนที่สารโคบอลต์ 60 ที่ใช้รักษาคนไข้หลุดรอดหายไป มีคนไปเก็บมามีผู้เสียชีวิต 3 ราย และประสบภัยจำนวนหนึ่ง ซึ่งกรณีซีเซียม-137 ความเข้มข้นไม่เท่ากับโคบอลต์ 60



         ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวยกเลิกจองบุ๊กกิ้ง มาเที่ยวเพราะกังวล นพ.โอภาสกล่าวว่า ความชัดเจนอยู่ที่จังหวัด ไปสอบสวนโรคแล้ว สารกัมมันตรังสีอยู่ตรงไหนอย่างไร หลอมไปแล้วหรือยัง การตรวจจับกัมมันตรังสีที่มีการรั่วไหลหรือปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมมีมากแค่ไหน หัวใจสำคัญ สธ.กำลังติดตามข้อมูลเรื่องนี้ คนอื่นไม่ต้องกังวลมากเกินไป ต้องติดตามข้อมูลว่าหากอาการผิดปกติ ย้ำว่าไม่แน่ใจไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ ดูว่ามีความเชื่อมโยงหรือไม่



 



#สารซีเซียม137



#สาธารณสุข 

ข่าวทั้งหมด

X