IQAIR รายงานคุณภาพอากาศโลก พบ ไทย-อินโดนีเซีย มีมลพิษสูงสุดในอาเซียน

16 มีนาคม 2566, 14:29น.


          IQAir รายงานคุณภาพอากาศโลกปี 65 ฉบับที่ 5 จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ PM 2.5 จาก 7,323 เมือง ใน 131 ประเทศและภูมิภาค โดยรวบรวมข้อมูลมาจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศภาคพื้นดินกว่า 30,000 แห่งทั่วโลก และใช้เกณฑ์แนะนำคุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นค่าพื้นฐานในการนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศ พบว่า ประเทศไทยและอินโดนีเซีย มีจำนวนเมือง/อำเภอ ที่มีมลพิษมากที่สุด จากทั้งหมด 15 อันดับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ไทยมี 7 อำเภอที่มีมลพิษสูง คือ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี, อ.เมืองน่าน จ.น่าน, อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ, คลองตาคต จ.ราชบุรี, ท่าวาสุกรี จ.พระนครศรีอยุธยา, ดอนหัน จ.ขอนแก่น และยางซ้าย จ.สุโขทัย ส่วนอินโดนีเซีย มี 5 เมือง คือ ปาซาร์เคมิส, ชีเลงเซีย, จาการ์ตา, เบกาซี และสุราบายา ตามลำดับ



          โดยความเข้มข้น PM 2.5 เฉลี่ยของไทยปี 65 อยู่ที่ 18.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลงกว่าปี 64 ที่ ร้อยละ 10.4  กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่มีความเข้มข้นฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายปี สูงเป็นอันดับที่ 5 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับที่ 52 ของโลก มีค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ย 18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร



          แม้ปี 65 ไทยมีคุณภาพอากาศดีขึ้นเมื่อเทียบปี 64 เนื่องมาจากปัจจัยทางสภาพภูมิอากาศ เช่น ความชื้นสูงและพายุอันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ลานีญา แต่มาตรการของรัฐบาล ยังห่างไกลจากการต่อกรกับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่รากเหง้าอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งเห็นได้จากความเข้มข้นฝุ่น PM 2.5 โดยรวมของประเทศยังสูงกว่าค่าแนะนำของ WHO



          ขณะเดียวกัน ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยฝุ่น PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดหลัก (Emission Standard) และการเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) ที่จะเป็นเครื่องมือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบและป้องกันสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 และมลพิษอื่นๆ ได้



          น.ส.อัลลิยา เหมือนอบ นักรณรงค์ด้านมลพิษทางอากาศ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ประชาชนในภาคเหนือของไทย มีความเสี่ยงต่อผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. ของทุกปี ข้อมูลในรายงานของกรีนพีซ ประเทศไทย พบว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาคเหนือตอนบนของไทย และการขยายการลงทุนของบริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทย เพื่อผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง คือสาเหตุหนึ่งของมลพิษข้ามพรมแดน ที่มีความเชื่อมโยงกับวิกฤตฝุ่นควันในภาคเหนือ



          ด้าน น.ส.รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและเกษตรกรรมเชิงนิเวศ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่ยังขาดหายไป คือกลไกทางกฎหมาย และการกำหนดนโยบายที่สามารถเอาผิดอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับการก่อฝุ่นพิษข้ามพรมแดนและการทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์



          ทั้งนี้ ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนเป็นภารกิจที่เร่งด่วน ที่ภาครัฐจำเป็นต้องแสดงเจตนารมณ์ และดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการกำหนดมาตรการและนโยบาย เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาระรับผิดต่อการทำลายสิ่งแวดล้อม และผลกระทบทางสุขภาพ เพื่อต่อกรกับความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และปกป้องสุขภาพของประชาชน



 



 



#มลพิษอาเซียน



CR:กรีนพีซประเทศไทย  https://shorturl.asia/EVBW5

ข่าวทั้งหมด

X