กรณีที่ธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) กลายเป็นธนาคารแห่งที่ 2 ของสหรัฐฯ ต่อจากธนาคารซิลิคอนวัลเลย์ (SVB) ที่ถูกหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯปิดกิจการ และยึดทรัพย์สิน โดยบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลสหรัฐฯ (Federal Deposit Insurance Corporation : FDIC) เข้าควบคุมซิกเนเจอร์ซึ่งมีสินทรัพย์และเงินฝาก 110,360 ล้านดอลลาร์ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯและหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร รับรองว่าผู้ฝากเงินทุกรายของธนาคารทั้ง 2 แห่ง จะได้รับการคุ้มครอง และผู้เสียภาษีจะไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายใดๆที่เกิดขึ้น แต่มาตรการเหล่านี้ ไม่ครอบคลุมผู้ถือหุ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า อัยการสหรัฐฯกำลังตรวจสอบธนาคารซิกเนเจอร์ ซึ่งสนับสนุนลูกค้ากลุ่มคริปโทเคอร์เรนซีเป็นหลัก ก่อนที่หน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ายึดธนาคารอย่างกะทันหันเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ โดยสงสัยว่า ธนาคารมีการทำงานตามขั้นตอนที่จำเป็นในการตรวจสอบกรณี มีความเป็นไปได้ ที่ลูกค้าของธนาคารมีการฟอกเงินหรือไม่ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐก็กำลังตรวจสอบธนาคารซิกเนเจอร์ เช่นกัน ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการกล่าวหาธนาคารตลอดจนพนักงานว่ากระทำความผิดและการสืบสวนอาจสิ้นสุดลงโดยไม่มีการดำเนินคดี
ด้านฟิทช์เรตติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับเครดิตระยะยาวของผู้ออกตราสารหนี้ระยะยาวของธนาคารซิกเนเจอร์ จากระดับ ‘BBB+’ เป็น 'D'
นอกจากนี้ธนาคารซิกเนเจอร์และอดีตผู้บริหารระดับสูง 3 คน คือนายโจเซฟ เดอเปาโล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายสตีเฟ่น วีเรมสกี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และนายเอริค โฮเวลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ถูกผู้ถือหุ้นยื่นฟ้อง เพราะในช่วงเวลา 3 วันก่อนที่จะถูกยึดกิจการ ธนาคารเพิ่งยืนยันว่า ธนาคารมีความแข็งแกร่งทางการเงิน คดีนี้ถูกยื่นฟ้องที่ศาลรัฐบาลกลางในบรู๊คลินซึ่งโจทก์อ้างว่าธนาคารซิกเนเจอร์ ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของธนาคาร เพื่อระงับความกังวลที่สืบเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารซิลิคอนวัลเลย์
….
#ธนาคารสหรัฐ
#ธนาคารซิกเนเจอร์