ธนาคารปล่อยกู้กลุ่มสตาร์ทอัพในสหรัฐ ประกาศขายสินทรัพย์ ดึงดัชนีหุ้นทั่วโลก ปรับตัวลดลง

10 มีนาคม 2566, 12:15น.


          หลังจากหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นสหรัฐทรุดตัวลงอย่างรุนแรงเมื่อคืนวานนี้ (9 มี.ค.) อันเนื่องมาจากรายงานข่าวที่ว่า ธนาคารเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (SVB Financial Group) ซึ่งเป็นธนาคารสหรัฐที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและมุ่งเน้นกลุ่มสตาร์ทอัพ เผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงิน ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเอเชีย



          สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ราคาหุ้นของธนาคารในเอเชียร่วงลง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวธนาคารเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประกาศขายสินทรัพย์และขายหุ้นมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่จะพยุงงบดุลบัญชีของธนาคาร เนื่องจาก ยอดเงินฝากจากบรรดาสตาร์ทอัพปรับตัวลงอย่างมาก ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้การซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กปั่นป่วนอย่างหนักเมื่อคืนวานนี้ (9 มี.ค.) และได้ฉุดราคาหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงถ้วนหน้า



          ส่วนภาคเช้าวันนี้ ดัชนีนิกเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดตลาดภาคเช้า ลดลง 351.57 จุด อยู่ที่ 28,271.58 จุด ส่วนฮั่งเส็ง ตลาดฮ่องกง ปิดตลาดภาคเช้า ลดลง 490.90 จุด อยู่ที่ 19,434.84 จุด



          ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ 1,605.75 จุด ลดลง 8.47 จุด มูลค่าการซื้อขายราว 22,459.28 ล้านบาท หุ้นไทยปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นเอเชียในเช้าวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ปรับฐานลงมา สะท้อนปัจจัยการขาดสภาพคล่องของ 2 ธนาคารใหญ่ในสหรัฐ



          ขณะเดียวกันจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐชะลอ กระทบต่อ sentiment ในภาพรวมของตลาด ส่วนตลาดหุ้นไทยมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมากดดันดัชนี แต่ยังสามารถยืนอยู่ได้ในระดับ 1,600 จุด



          สำหรับธนาคารเอสวีบี ปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น และรับฝากเงินของบริษัทเทคโนโลยีรวมทั้งสตาร์ทอัพเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2565



           นายเกร็ก เบคเกอร์ ซีอีโอของเอสวีบี ระบุในจดหมายที่ส่งถึงนักลงทุนว่า ลูกค้าของธนาคารประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดหมุนเวียนในเดือนก.พ. ซึ่งส่งผลให้เงินฝากธนาคารลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับต้นทุนด้านการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันรายได้ของธนาคารและลูกค้าของธนาคาร



          สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เอสวีบีต้องหาทางระดมเงินทุนให้ได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์ โดยระดมจากบริษัทเจเนอรัล แอตแลนติก ซึ่งเป็นบริษัทหุ้นนอกตลาด (ไพรเวทอิควิตี้) จำนวน 500 ล้านดอลลาร์ และระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนจำนวน 1.75 พันล้านดอลลาร์



         ก่อนหน้านี้ เอสแอนด์พีได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอสวีบีลงสู่ระดับ BBB- จากระดับ BBB โดยระดับ BBB- นั้นสูงกว่าระดับขยะเพียง 1 ขั้นเท่านั้น ขณะที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเอสวีบีลงสู่ระดับ Baa1 จากระดับ A3 โดยระบุถึงภาวะถดถอยด้านเงินทุน สภาพคล่อง และความสามารถในการทำกำไรของเอสวีบี



 



#เศรษฐกิจโลก



 

ข่าวทั้งหมด

X