*รัฐธรรมนูญฉบับร่างจะสมบูรณ์ในวันที่17เมษา/สปช.,สนช.พร้อมเสนอความเห็น/สงกรานต์เงินสะพัดกว่า9พันล้านบาท*

14 เมษายน 2558, 08:41น.


ติดตามข่าวการเมือง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่าขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกมีเนื้อหาสาระครบถ้วนทั้ง 315 มาตรา แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องรอให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจถ้อยคำในการอ้างอิงเลขมาตรา ซึ่งจะมีความพร้อมสมบูรณ์วันที่ 17 เมษายนนี้ และจะมีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกในวันที่ 27 เมษายนนี้ โดยย้ำว่าเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ ทำการเมืองให้ใสสะอาดและสมบูรณ์ หนุนสังคมเป็นธรรม นำชาติสู่สันติสุข ส่วนในเรื่องระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมนั้น ต่างจากเดิมที่ประชาชนสามารถเลือกผู้สมัครจากบัญชีรายชื่อได้ด้วยตนเอง ถือเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน ส่วนการคำนวณคะแนนผลการเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)



ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่าระบบการเลือกตั้งนี้จะสะท้อนคะแนนที่ประชาชนเลือกพรรคการเมืองได้อย่างแท้จริง ขณะที่พรรคการเมืองจะต้องแข่งขันกันหนักขึ้นเพราะต้องลงพื้นที่หาเสียงและแข่งขันทำผลงานกันเองภายในพรรคด้วย ขณะที่ประชาชนจะได้ประโยชน์



ส่วนนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีกมธ.ยกร่างฯเตรียมเสนอรัฐธรรมนูญร่างแรกให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) วันที่ 17 เมษายนนี้ ตามกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งสปช.ต้องพิจารณาให้เสร็จภายในวันที่ 26 เมษายน จากนั้นอีก 30 วัน จะเปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และสนช.ร่วมเสนอความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญไปยังกมธ.ยกร่างฯ ซึ่งในส่วนสนช.มีคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเสนอแนะ และรวบรวมความเห็น เพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญครั้งสุดท้ายเสร็จไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคม เพื่อส่งให้กมธ.ยกร่างฯต่อไป



ส่วนนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเพียงร่างแรกเท่านั้น ยังต้องผ่านกระบวนการอภิปรายและยื่นคำขอแก้ไขจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) รวมทั้งต้องส่งให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณา และยังต้องนำร่างรัฐธรรมนูญลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อรับฟังความเห็นจากประชาชนอีก จึงยังมีเวลาในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคมที่เป็นช่วง 60 วันสุดท้ายของการร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะปรับแก้ให้เหมาะสม



นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สปช. (วิป สปช.) กล่าวว่า การประชุม สปช.เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกในวันที่ 20-26 เมษายนนี้ จะเป็นการพิจารณาเรียงตามหมวดตามมาตราของรัฐธรรมนูญ โดยจะเปิดให้สมาชิกที่ประสงค์จะอภิปรายได้แสดงความจำนงตั้งแต่เที่ยงวันที่ 17 เมษายนนี้ จนถึงวันอภิปราย ซึ่งการพิจารณากำหนดสัดส่วนเวลาการอภิปรายจะขึ้นอยู่กับการแสดงความจำนงของสมาชิก โดย กมธ. ปฏิรูปของ สปช.ทั้ง 18 คณะ จะมีสัดส่วนการอภิปรายครบทั้ง 18 คณะ โดยให้เวลาคณะละ 2 ชั่วโมง การประชุมกำหนดไว้ตั้งแต่เวลา 09.00-21.00 น. ซึ่งในแต่ละวันทางประธาน สปช. และประธานที่ประชุมจะพิจารณาขยายเวลาออกไปได้ตามความเหมาะสมแต่ไม่เกิน 24.00 น. โดยจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา และขอความร่วมมือทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์หรือช่อง 11 เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมและรับรู้พร้อมแสดงความคิดเห็นและตั้งข้อสอบถามผ่านศูนย์รับฟังความเห็นของ สปช.ใน 11 ช่องทางตลอด 7 วัน ของการพิจารณา



ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญในมาตรา (3/1/4) 3 โดยบัญญัติให้มีแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณในศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดนั้น นายไพโรจน์ มินเด็น ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด โฆษกศาลปกครอง เปิดเผยว่า ศาลปกครองได้มีคำสั่งประธานศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาเตรียมการจัดตั้งแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณในศาลปกครองแล้ว โดยคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดทิศทางนโยบาย แผนงาน และโครงการที่จำเป็นสำหรับการรองรับการจัดตั้งแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณในศาลปกครอง ศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะเกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการ รวมทั้งลักษณะพิเศษเฉพาะของคดีปกครองที่เกี่ยวกับวินัยการคลังและการงบประมาณ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งแผนกคดีวินัยการคลังและการงบประมาณในศาลปกครองต่อไป ตลอดจนศึกษาเกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีและการบังคับคดีของศาลที่เหมาะสม



ส่วนบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ยังคงเป็นไปอย่างคึกคักทั่วไทย ซึ่งบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วันนั้น จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางไปท่องเที่ยวยัง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนอย่างคึกคัก โดยมี จ.เชียงใหม่และ จ.เชียงราย เป็นปลายทางท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ซึ่งจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 9,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวคนจีนเดินทางเข้าไปไม่ต่ำกว่า 65,000 คน เงินสะพัดประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีเงินสะพัดสูงสุดคือ จ.เชียงใหม่และ จ.เชียงราย และจังหวัดที่น่าจะจับตาคือ จ.น่าน เพราะที่ผ่านมามีการขยายตัวที่โดดเด่น



..

ข่าวทั้งหมด

X