ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเพจ Facebook Center for Medical Genomics ติดตามสถานการณ์ไวรัสมาร์บวร์กในแอฟริกา โดยระบุเรื่องวงจรการแพร่ระบาดของไวรัสมาร์บวร์กในแอฟริกา
-รังโรค(reservoir)ของไวรัสมาร์บวร์ก คือ ค้างคาว(กินผลไม้)ที่อาศัยในถ้ำ
-คนงานที่เข้าไปขุดแร่ในถ้ำหรือนักท่องเที่ยวถ้ำเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสกับอุจจาระหรือปัสสาวะของค้างคาวที่มีไวรัสมาร์บวร์กปะปนอยู่ เมื่อนำนิ้วมือที่มีไวรัสปนเปื้อนไปลูบ เกา หรือขยี้บริเวณปาก จมูก และตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน ไวรัสจะสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายได้
-ต้นไม้ใหญ่และสวนปาล์มน้ำมันเป็นแหล่งอาหารสำหรับค้างคาวผลไม้ประเภทนี้ที่จะไปชุมนุมกันเป็นจำนวนมากซึ่งอาจมีการแพร่กระจายไวรัสไปยังผู้ที่อาศัยหรือทำงานในบริเวณนั้น
-การล่าสัตว์และการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากซากสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำหรับการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กในมนุษย์
-ไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่กระจายในหมู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตที่ติดเชื้อซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างพิธีศพ
-การติดเชื้อระหว่างบุคลากรในโรงพยาบาลกับผู้ติดเชื้อที่มารักษาตัวในโรงพยาบาลมีสัดส่วนสูงถึง 1 ต่อ 20 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดในแต่ละช่วงของการระบาด
-ในพื้นที่ที่ลิงและไพรเมต อาศัยอยู่ใกล้กับมนุษย์ พวกมันอาจติดเชื้อไวรัส ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยรุนแรงและตายได้ สิ่งนี้พบได้จากการระบาดของไวรัสอีโบลาหลายครั้งในแอฟริกากลาง ซึ่งกอริลล่าและลิงชิมแปนซีจำนวนมากตายเนื่องจากการติดเชื้อ
การลดลงของประชากรลิง เนื่องจาก ไวรัสมาร์บวร์ก และอีโบลาไม่เพียงแต่จะเป็นการสูญเสียสัตว์สงวนสำคัญเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม เช่น ไม้ผลจำนวนมากในแอฟริกากลางอาศัยลิงเหล่านี้ในการกระจายเมล็ดพันธุ์ การสูญเสียสัตว์เหล่านี้อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการงอกใหม่ของต้นไม้เหล่านี้ ในแอฟริกาได้มีความพยายามในการปกป้องประชากรลิงจากการติดเชื้อฟิโลไวรัสด้วยเช่นกัน
#ไวรัสมาร์บวร์ก
#แอฟริกา
CR:ขอบคุณข้อมูล-ภาพ Facebook Center for Medical Genomics