*ทหารคุมตัวผู้ต้องสงสัยเหตุระเบิดที่สุราษฎร์ธานีคาดไม่เกิน7วัน/รัฐบาลเตรียมแถลงผลงาน6เดือนหลังสงกรานต์/กมธ.ยกร่างพิมพ์ร่างรธน.เตรียมเผยแพร่20เมษา*

13 เมษายน 2558, 07:43น.


ความคืบหน้าคนร้ายก่อเหตุระเบิดรถยนต์บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดิน ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวนายนรินทร์ อ่ำหนองบัว หรือ "เอ็ม เสื้อแดง" ได้ที่ จ.นนทบุรี จากการที่เป็นผู้เผยแพร่ข้อความผ่านสื่อเฟซบุ๊ก "คืนนี้จัดหนักที่สุราษฎร์"



ด้านพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า พนักงานสอบสวนยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำพยานแวดล้อมและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อเตรียมขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาต่อไป ส่วนผู้ที่ถูกทหารควบคุมตัว ยังไม่ได้รับการประสานว่าจะส่งตัวให้ตำรวจเมื่อใด สำหรับเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้มีการตั้งประเด็นการสอบสวนไว้ 3 ประเด็น คือ สถานการณ์ทางการเมือง ขัดแย้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ และความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้



พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และโฆษก ทบ. กล่าวว่า ทหารใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2558 เข้าควบคุมตัวนายนรินทร์ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการสืบสวนสอบสวน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผล คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน แต่ยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา หากผู้ต้องสงสัยหรือบุคคลใดมีความข้องใจว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถให้ตรวจสอบได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ปฏิบัติงานตามความรู้สึกส่วนตัว แต่มีข้อมูลและองค์ประกอบหลักฐานต่างๆ ชัดเจน สามารถชี้แจงและพร้อมให้การตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินการได้



ส่วน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลักฐานทั้งหมดที่พบในขณะนี้เชื่อมโยงไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุกลุ่มเดิม ที่เคยสร้างสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ



แต่ พ.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ เลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนแยก 1 เปิดเผยเหตุระเบิดว่า การข่าวด้านมั่นคงของกองทัพภาคที่ 4 ยังไม่ปรากฏพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือ กลุ่มความขัดแย้งทางการเมือง จึงเชื่อว่าการเกิดเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.เกาะสมุย เกิดจากความขัดแย้งของบุคคลในพื้นที่ และไม่ได้หวังผลแก่ชีวิตเนื่องจากเกิดหลังจากปิดเวลาทำการ แต่ต้องการสร้างความเสียหายด้านภาพลักษณ์เพราะก่อเหตุในวันครบรอบ 1 ปีของการเปิดให้บริการ



ในวันที่ 17 เมษายนนี้ รัฐบาลจะแถลงผลงาน 6 เดือน ซึ่ง ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าผลงานที่สำคัญตามนโยบาย 11 ด้านของรัฐบาลที่จะแถลง ได้แก่ ผลงานด้านความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ และความสงบสุขของบ้านเมือง ซึ่งทุกคนทราบดีว่าก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ บ้านเมืองมีความขัดแย้ง รัฐบาลจึงเข้ามาดูแลรักษาความสงบสุข ส่งเสริมความปรองดองและปฏิรูปประเทศ นอกจากนี้ยังมีผลงานในด้านการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ จดทะเบียนแรงงานต่างด้าว การแก้ปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมาย สำหรับในการแถลงข่าวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงหลักและมีรองนายกรัฐมนตรีช่วยเสริมในช่วงถามและตอบ นอกจากนี้จะนำจดหมายข่าวรัฐบาลฉบับแรกมาแจกจ่ายอีกด้วย



ส่วนความคืบหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กำลังมีการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเผยแพร่ในวันที่ 20 เมษายนนี้ และจะเป็นวันแรกของการอภิปราย ซึ่งในประเด็นที่ว่า กมธ.ยกร่างฯไม่รับฟังความเห็นของ สปช.นั้น สปช.สามารถขอยื่นแก้ไขเพิ่มเติมได้ในวันที่ 26 เมษายน ถึง 25 พฤษภาคมนี้ โดยกมธ.ยกร่างฯ ยังเพิ่มขั้นตอนให้สมาชิก สปช.แต่ละคณะเข้าชี้แจงต่อ กมธ.ยกร่างฯ ในประเด็นที่ขอปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม คณะละ 3 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 6 มิถุนายนนี้



และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมส่งรายชื่อข้าราชการที่ทุจริตให้กับศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพิ่มเติม ต่อเนื่องจากการส่งรายชื่อข้าราชการในระดับท้องถิ่นที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีเรียกรับเงิน จัดซื้อจัดจ้างไปแล้วรอบหนึ่ง และกำลังรวบรวมเพื่อพิจารณาส่งรายชื่อเพิ่มเติมในรอบที่ 2 และเมื่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเห็นชอบแล้วก็จะส่งให้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธาน ศอตช.ต่อไป โดยยืนยันว่า ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วยความรัดกุมและรอบคอบ เพราะถ้ามีความผิดพลาดผู้ที่ถูกส่งรายชื่อจะเสียหาย หรือหากมีการร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และเมื่อตรวจสอบพบว่าไม่ได้กระทำความผิดจริงหรือถูกกลั่นแกล้งอาจส่งผลกระทบมาถึงภาพลักษณ์การทำงานของ ศอตช.ได้



เมื่อคืนนี้ นักศึกษาไทยในประเทศเยเมน 48 คน แยกเป็น ชาย 15 คน หญิง 27 คน และเด็กอีก 6 คนเดินทางกลับมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแล้ว ซึ่งนายโวสิต วรทรัพย์ รองอธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยด้วยว่า ยังมีนักศึกษาไทยอีกมากกว่า 30 คนที่อยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อเดินทางกลับเช่นกัน และยังมีอีก 3 คนที่ยังอยู่ในเมืองเอเดนซึ่งสถานการณ์น่าเป็นห่วง



 



*-*

ข่าวทั้งหมด

X