ประเทศไทยเป็นอันดับ 7 ของประเทศที่ผลิตไม้ดอกออกสู่ตลาดมากที่สุดในโลก มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,600 ล้านบาทต่อปี โดยมีตลาดญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ที่เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญนำเข้าดอกไม้จากไทย ดอกไม้เศรษฐกิจที่สำคัญ คือ กล้วยไม้ ดอกปทุมมา ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้สินค้าไม้ดอกของไทยมีคุณภาพ คือการสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆให้กับเกษตรกร
ศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 สาขาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงมุ่งมั่นพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกไม้ผล รวมถึงศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีการผลิตไม้ดอกไม้ผล เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้กับเกษตรกร
นายไพรัตน์ ทับประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จากแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ท่านได้พระราชทานทรัพย์ 80,000 บาท เพื่อเริ่มงานทดลองขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผล และประสบผลดี นอกจากการขยายพันธุ์แล้ว ยังวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกให้มากขึ้น เพื่อนำผลสำเร็จจากงานวิจัยไปจัดทำเป็นหลักสูตรอบรมให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจ เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย
ด้านศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ โสระยา ร่วมรังษี ผู้อำนวยการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเผยว่า จุดแข็งของไทย คือ มีความหลากหลายทางสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เกษตรกรและภาคเอกชนไทยค่อนข้างเข้มแข็ง แต่ไทยก็ยังไม่สามารถติดอันดับประเทศที่ขายดอกไม้ได้มากที่สุดในโลกได้ เพราะไทยยังมีจุดอ่อนหลายอย่าง เช่น ขาดความต่อเนื่องในการวิจัย ทำให้ขาดองค์ความรู้ที่จะช่วยสนับสนุนเกษตรกร อีกทั้งสินค้าไม้ดอกยังไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร ทำให้งบประมาณที่จะลงมาสนับสนุนมีน้อย
นอกจากนี้ ไทยยังนำเข้าไม้ดอกจากต่างประเทศจำนวนมาก ทั้งที่ไม้ดอกบางชนิด ไทยมีศักยภาพที่จะผลิตได้ ศูนย์ฯ บ้านไร่ จึงมุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ดอก ทั้งสายพันธุ์ไทยและต่างประเทศ แล้วถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิก ปัจจุบันศูนย์ฯบ้านไร่ ได้พัฒนาพันธุ์ไม้ดอก 9 ชนิด ได้แก่ พืชกลุ่มกระเจียวและปทุมมา แกลดิโอลัส บานชื่น ว่านสี่ทิศ กล้วยไม้ หงส์เหิน ดาหลา แอสเตอร์ โดยการพัฒนาสายพันธุ์จะใช้ 3 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบดั้งเดิม คือนำเกสรตัวผู้ผสมเกสรตัวเมีย,การใช้รังสีเพื่อช่วยให้เกิดการกลายพันธุ์ ให้ได้สายพันธุ์ใหม่ๆ สีสันใหม่ๆ หรือสามารถบังคับให้ออกดอกนอกฤดูกาล,การใช้สารเคมีเพื่อให้มีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากขึ้น เพื่อให้เกิดลูกผสมที่มีคุณลักษณะที่ดี รวมทั้งยังช่วยเกษตรกรในการวิเคราะห์ตลาดส่งออกด้วย
หนึ่งตัวอย่างของเกษตรกรผู้ปลูกดอกกระเจียว คุณอุดม แก้วก๋องมา เกษตรกรกลุ่มแม่บ้านบ้านแม่เตี๊ยะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ปลูกกระเจียว มาแล้ว 40 ปี เป็นสมาชิกศูนย์ฯ บ้านไร่ มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำไร่กระเจียวใหม่ๆ เนื่องจากตอนปลูกแรกๆ ประสบปัญหาแมลงศัตรูพืช และพันธุ์กระเจียวที่ปลูกได้ดอกเล็ก ไม่ค่อยทน แต่ทางศูนย์ฯ บ้านไร่ นำพันธุ์กระเจียวใหม่ๆ สีสวย เป็นที่ต้องการของตลาดมาแนะนำ และให้ความรู้เรื่องศัตรูพืช ทำให้ตอนนี้สามารถปลูกกระเจียวเป็นพืชเสริม ส่งขายในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างรายได้ปีละกว่า 50,000-100,000 บาทเลยทีเดียว
ปัจจุบันศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีสมาชิกเกษตรกรเครือข่ายทั่วประเทศ 26 กลุ่ม สร้างรายได้มากกว่า 38 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังร่วมมือกับสำนักงานจังหวัดยะลาและจังหวัดนราธิวาส ให้ความรู้ด้านการผลิตไม้ดอกเมืองหนาวและไม้ดอกชนิดใหม่แก่ชาวบ้านในพื้นที่ คือ ลูกผสมพันธุ์ใหม่ของพืชกลุ่มปทุมมาและกระเจียว แกลดิโอลัสพันธุ์ลูกผสมจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยปีที่ผ่านมา สร้างรายได้มากกว่า 6,700,000 บาท รวมทั้งยังทดลองวิจัยในห้องปฏิบัติการ ทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้ดอกไม้ผล และไม้ใบ ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อหวังนำองค์ความรู้ที่ได้ มาสนับสนุนส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกรไทยต่อไป
#ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
#เชียงใหม่