มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการ เรื่อง “สางปมบุหรี่ไฟฟ้า หลากปัญหา รอวันแก้” โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ระบุว่า กฎหมายไทยกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้าม ทั้งห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่ายหรือให้บริการ ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น ในปี 2564 พบว่ามี 32 ประเทศจากทั่วโลก ที่ประกาศใช้กฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้า จากเดิมที่ในปี 2557 มีเพียง 13 ประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า ทั่วโลกตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากมีข้อมูลชัดเจน เช่น เด็กมัธยมปลายอเมริกันสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากเดิมร้อยละ 1.5 ในปี 2554 มาเป็น ร้อยละ 19.6 ในปี 2563 หรือที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีเด็กอายุ 14-15 ปี ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากเดิมร้อยละ 1.9 ในปี 2560 มาเป็นร้อยละ 9.6 ในปี 2564
ส่วนในประเทศไทยนั้น พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุ 13-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากเดิมร้อยละ 3.3 ในปี 2558 มาเป็น ร้อยละ 8.1 ในปี 2564
นอกจากนี้ ยังมีรายงานการวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก ที่ส่วนใหญ่สรุปว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจ เพราะละอองลอยมีสารโลหะหนักหลายชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมี่ยม และตะกั่ว ที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งยังพบว่า สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า เป็นอันตรายต่อพัฒนาการของสมองเด็กและวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าหลายยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 20 มวน และบางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 50 มวน
ส่วนข้ออ้างที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในการช่วยเลิกบุหรี่มวนนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะในปี 2564 องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า บุหรี่ไฟฟ้า จะช่วยให้เลิกบุหรี่มวนได้จริงหรือไม่ ส่วนองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายืนยันเมื่อปี 2565 ว่า ไม่เคยรับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขของออสเตรเลีย ที่ระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ และยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2564-2565 ที่ไม่มีข้อสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ แต่กลับพบว่า ร้อยละ 60 ของคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า จะกลับมาสูบบุหรี่ชนิดมวนใหม่ซ้ำอีก
ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลก ระบุชัดเจนว่า ปัญหาใหญ่สุดของบุหรี่ไฟฟ้า คือ ทำให้เด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่ เข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้า และเด็กที่เริ่มต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าเด็กที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2-4 เท่า รวมทั้งคนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้ว จะกลับมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน ดังนั้น สื่อมวลชนจึงต้องช่วยกัน เผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง สื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ที่เข้าถึงเด็กและเยาวชน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคุมการโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ทุกรูปแบบ เพราะบริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามักใช้สื่อออนไลน์และสนับสนุนเงินในการจัดกิจกรรมดึงดูดกลุ่มเยาวชน
ด้านนายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมีหมวดที่ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ทำให้มีการออกคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ยังมีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย อีกทั้งยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ครอบครองหรือรับฝากไว้ จะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยขณะนี้ สคบ.ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตรวจสอบการขายบุหรี่ไฟฟ้า พบว่า ส่วนใหญ่ไปขายกันในโลกออนไลน์ ซึ่งเด็กและเยาวชนเข้าถึงได้ง่าย สคบ.จึงส่งข้อมูลไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. ให้ดำเนินคดีกับเว็บไซต์ที่ขายบุหรี่ไฟฟ้า กว่า 300 เว็บไซต์ ที่สำคัญ มีการลักลอบนำเข้ามาตามแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก จึงต้องบังคับใช้กฎหมายร่วมกันหลายหน่วยงาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยที่ผ่านมา สคบ.ได้จับกุมผู้ขายในกทม.ที่ตลาดคลองถมถึง13 ครั้ง แต่จับเท่าไรก็ไม่หมด เพราะหัวใจสำคัญคือต้องจัดการกับผู้นำเข้ารายใหญ่ ซึ่งมีไม่กี่สิบราย และผู้ขายที่รับมาจากรายใหญ่แล้วกระจายอยู่ทั่วประเทศ ต้องบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดกับคน 2 กลุ่มนี้ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ประชาชน โดยล่าสุด สคบ.ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่า จะมีการนำกฎหมายฟอกเงินมาบังคับใช้กับผู้ที่ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายด้วย เพื่อให้เกิดความเด็ดขาด
ด้านตัวแทนสื่อมวลชน ร่วมแสดงความคิดเห็น ว่าจำเป็นต้องสื่อสารองค์ความรู้และขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ควรมีการส่งข้อมูลให้กับผู้มีอำนาจในการแก้ไขปัญหาโดยตรง โดยใช้วิธีการเดียวกับที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดโปงเรื่องกระบวนการทุนสีเทาชาวจีน และพนันออนไลน์ นอกจากนี้ ควรให้ข้อมูลที่เป็นด้านลบของพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า และรณรงค์ส่งเสียงให้เรื่องนี้ไปถึงฝ่ายการเมือง เพื่อผลักดันให้ฝ่ายการเมืองจัดการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง
#บุหรี่ไฟฟ้า