จีนปลดหัวหน้าสำนักงานพยากรณ์อากาศหลังมีรายงานเรื่องบอลลูนเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ

          สื่อของทางการจีนรายงานว่า หัวหน้าสำนักงานพยากรณ์อากาศของจีน ถูกปลดออกจากหน้าที่เมื่อวันศุกร์ (3 ก.พ.66) หลังจากที่มีรายงานเรื่องที่พบบอลลูนสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ เป็นเวลาหลายวัน ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็นความพยายามที่จะย้ำข้ออ้างที่ว่า บอลลูนที่อยู่สูงกว่าระดับการบินของเครื่องบินพาณิชย์ คือเรือเหาะพลเรือนเพื่อวัตถุประสงค์ทางอุตุนิยมวิทยา

          การปลด นายจ้วง กั๋วไท่ ออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อปลายเดือนมกราคม เขาเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการที่ปรึกษาทางการเมืองของประชาชน มณฑลกานซู ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองประจำมณฑล

          และหลายชั่วโมงหลังจากที่สหรัฐฯ ยิงบอลลูนสอดแนมของจีน มีรายงานจากเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศโคลอมเบีย ว่าตรวจพบวัตถุ “ที่มีลักษณะคล้ายบอลลูน” ในน่านฟ้าเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ความสูงเหนือระดับ 55,000 ฟุต ทางภาคเหนือของประเทศ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย 25 นอตและกำลังมีการประสานงานกับประเทศและสถาบันต่าง ๆ เพื่อระบุที่มาของบอลลูน ซึ่งขณะนี้ออกจากน่านฟ้าของโคลอมเบียแล้ว พร้อมระบุว่า บอลลูนนี้ ไม่ได้แสดงถึงภัยคุกคามต่อความมั่นคงและการป้องกันประเทศ (หรือ) ต่อความปลอดภัยทางอากาศ

          ส่วนกองทัพอากาศสหรัฐฯ มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพบเห็นบอลลูนอีกหลายครั้งในอดีต รวมถึงการพบบอลลูนสอดแนม 3 ครั้ง ในช่วงที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ในตำแหน่ง แต่เป็นการเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ของสหรัฐฯ ในช่วงสั้นๆ

          และกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (5 ก.พ.) ว่าเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมของจีนไม่ควรได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศที่มีอารยธรรม เพราะการกระทำของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ ละเมิดน่านฟ้าของประเทศอื่น และละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศเหล่านั้น ทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลจีน ยุติการกระทำที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคโดยทันที

          ไต้หวันมีประสบการณ์บอลลูนจากจีน ในเดือนกันยายน 2564 และในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งกระทรวงกลาโหมไต้หวัน เปิดเผยว่าบอลลูนที่เชื่อว่าใช้สำหรับ "การสังเกตการณ์ทางอุตุนิยมวิทยา" บินอยู่เหนือเกาะไต้หวัน แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นชนิดเดียวกับที่ถูกสหรัฐฯ ยิงตกหรือไม่

…

#บอลลูนสอดแนม

#สหรัฐ

#จีน