สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) รายงาน ผลการสำรวจการปลูกฝิ่นในเมียนมา 2565 (Myanmar Opium Survey 2022) ซึ่งพบว่า พื้นที่ปลูกฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังการรัฐประหารในปี 2564 เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจ กลายเป็นช่องว่างให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกฝิ่น โดยในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2564-2565 พื้นที่ปลูกฝิ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสามเป็นมากกว่า 250,600 ไร่ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 90 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 790 ตัน
นายเจเรมี ดักลาส ตัวแทนระดับภูมิภาคของ UNODC กล่าวว่า การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และปัญหาธรรมาภิบาลซึ่งเกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องย้ายกลับไปปลูกฝิ่น อ้างอิงจากภาพถ่ายดาวเทียมและงานภาคสนามที่พบว่า แนวโน้มการผลิตฝิ่นที่ลดลงระหว่างปี 2557-2563 ได้กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2564 ราคาฝิ่นหน้าฟาร์มก็พุ่งสูงขึ้นถึงประมาณ 280 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม เปรียบเทียบกับราคาประมาณ 203 เหรียญสหรัฐฯในอัฟกานิสถาน
แต่ราคาผลผลิตที่สูงขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ราคาน้ำมันและปุ๋ยที่สูงขึ้น ทั้งมีโรคระบาดโควิด-19 และผลจากการรัฐประหารทำให้เศรษฐกิจของเมียนมาหดตัวถึงร้อยละ 18 ในปี 2564 ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรเป็นคนยากจน นายดักลาส กล่าวว่า ความยากลำบากทางการเงินบังคับให้คนงานจำนวนมากออกจากเขตเมืองไปทำงานปลูกฝิ่นในชนบท
...
#ฝิ่นเมียนมา
#สหประชาชาติ