รอยเตอร์รายงานอ้างนายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลกว่า เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ระยะการชะลอตัวยาวในช่วง 2 ปีข้างหน้า นับจากปีนี้(2566) เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อสูง อีกทั้งการลงทุนใหม่ๆจากภาคเอกชนอยู่ในระดับปานกลาง ทำให้ยากที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างเข้มแข็งในเวลาอันรวดเร็ว
นายมัลพาสส์ เสนอแนะให้ภาครัฐปรับนโยบายการใช้จ่ายงบประมาณให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้พิจารณาจัดทำโครงการเงินอุดหนุนต่างๆให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่น กลุ่มคนที่อ่อนแอมากที่สุดในสังคมและให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ภาครัฐสามารถควบคุมเงินเฟ้อ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในยุคพลังงาน เช่น น้ำมัน มีราคาแพง
ที่ผ่านมา ชาติตะวันตกประสบปัญหาวิกฤตพลังงานมีราคาแพง และเงินเฟ้อสูง หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวในยุคหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตามด้วยมาตรการของสหรัฐฯและกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู)คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย หลังบุกยูเครนเมื่อต้นปีที่แล้ว ทำให้เกิดปัญหาเรื่องผลกระทบด้านซัพพลายเชนและพลังงาน เช่น น้ำมัน มีราคาแพงทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ ธนาคารโลกระบุในรายงานล่าสุดชื่อ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก (Global Economic Prospects)เมื่อต้นเดือนนี้ ระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ไม่สดใสเท่าที่ควร คาดว่า 20 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรหรือ ยูโรโซน(Eurozone)จะเติบโตที่ร้อยละ 0 ในปีนี้ ลดจากตัวเลขคาดการณ์เดิมในเดือนกันยายนปีก่อนคือ ร้อยละ 1.9 เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า เงินเฟ้อและวิกฤตพลังงานกระทบอย่างชัดเจนต่อเศรษฐกิจของเขตยูโรโซน
สำหรับสหรัฐฯ ธนาคารโลกคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะลดมาที่ร้อยละ 0.5 ในปีนี้ ลดจากตัวเลขคาดการณ์ครั้งก่อน ร้อยละ 1.2 นับเป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดนับแต่ปี 2513
#ธนาคารโลก
#การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
#เศรษฐกิจโลก