ตร.เรียก'อดีตอธิบดีDSI'ให้ข้อมูล ปมค้นบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู-ดำเนินคดี 80 ตม.เอื้อทุนจีนสีเทา

24 มกราคม 2566, 15:48น.


          การสอบสวนคดีการเข้าตรวจค้นบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และตำรวจ 191 ถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีนแก๊งทำหนังสือเดินทางปลอม เพื่อแลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ผลการสอบสวนพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เป็นหน้าห้องของอดีตอธิบดีดีเอสไอ เป็นคนโทรศัพท์ไปหารองผู้บังคับการตำรวจ 191 เพื่อขอกำลังจากนั้นโทรศัพท์ไปรายงานกับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลท่านหนึ่งให้รับทราบถึงภารกิจโดยขณะนี้ได้เรียกมาสอบสวนทั้งหมดแล้ว ซึ่งความผิดยังพบเพียงตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุเท่านั้น ส่วนผู้สั่งการ พบว่าเป็นการสั่งด้วยวาจาให้ไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ดีเอสไอร้องขอ  ไม่ได้ให้ไปกระทำผิดกฎหมาย  แต่ได้ให้จเรตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยด้วย



            สำหรับเงิน 9,500,000 บาท ที่เรียกมาจากกลุ่มผู้ต้องหา ยังไม่พบการโอนต่อไปให้บุคคลใด มีเพียงในกลุ่มเจ้าหน้าที่ 16 คนที่ถูกดำเนินคดีเท่านั้น  ส่วนการสั่งย้ายนายไตรยฤทธิ์  เตมหิวงศ์  อดีตอธิบดีดีเอสไอ  เป็นคำสั่งของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เห็นว่านายไตรยฤทธิ์  เป็นคนสั่งตั้งชุดเฉพาะกิจนี้ แล้วมากระทำผิด ทำให้ผู้ที่สั่งตั้งต้องรับผิดชอบ  ยังไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีของตำรวจ  แต่ได้เรียกนายไตรยฤทธิ์  เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งชุดเฉพาะกิจนี้ขึ้นมาภายในสัปดาห์นี้



           นอกจากนี้ ชุดสืบสวนจะเข้าไปขอสอบปากคำผู้ต้องหาชาวจีนในเรือนจำ เนื่องจากในชั้นจับกุมทั้งหมดยังไม่ได้ให้การเป็นประโยชน์มากนัก ขณะเดียวกัน ยังสืบสวน พบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 คนที่เข้าไปตรวจค้นคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าตรวจค้นที่บ้านพักกงสุลนาอูรูแล้ว โดยมีหลักฐานเป็นภาพกล้องวงจรปิดชัดเจน ซึ่งจะออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา รวมทั้งจะสอบสวนอดีตกงสุลนาอูรู ที่เป็นผู้ร้องมาที่ดีเอสไอด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร



          อีกคดี คือ การสอบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกว่า 80 นาย ที่พบว่า เอื้อประโยชน์ให้กับชาวต่างชาติในการต่อวีซ่าให้อยู่ในไทยได้นานขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ขณะนี้เรียกมาสอบสวนทั้งหมดแล้ว และจะเตรียมประชุมร่วมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 30 ม.ค.นี้ เพื่อสรุปส่งให้กับจเรตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการทางวินัย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ทำงานคู่ขนานกันทั้งทางวินัยและอาญา และมีข้อมูลที่สอดคล้องกัน โดยเหลืออีกประมาณร้อยละ 10 ก็จะครบถ้วน



         กรณีของตำรวจยศนายพล 3 นาย ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ซึ่งมีชื่อไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น  ก็ตรวจสอบแล้ว และจะแจ้งข้อหาความผิดทางอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 และเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149  ซึ่งเมื่อดำเนินคดีแจ้งข้อหาแล้ว จะส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งหาก ป.ป.ช. ส่งกลับสำนวนยืนยันให้แจ้งข้อหาก็จะนำสำนวนสั่งฟ้องต่ออัยการต่อไป



       สำหรับการดำเนินการทางวินัยร้ายแรงนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า หากทางอาญาพบความผิด และมีการแจ้งข้อหา ดังนั้น ก็ต้องดำเนินการทางวินัยร้ายแรงเช่นกัน ส่วนการจะให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากราชการเลยหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ที่จะต้องพิจารณาว่า การอยู่ต่อของเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด ทำให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีหรือไม่อย่างไร จึงขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด โดย ผบ.ตร.จะไม่มีอำนาจไปมีส่วนแทรกแซงในเรื่องนี้



 



#ค้นบ้านพักกงสุลนาอูรู



#ทุนจีนสีเทา



#สุรเชษฐ์หักพาล

ข่าวทั้งหมด

X