IMF เตือนการแยกขั้วทางเศรษฐกิจจีน-สหรัฐฯ จะทำให้ GDP ของโลก ลดลง 7%

          กองทุนการเงินระหว่างประเทศ( IMF) ระบุในรายงานฉบับใหม่ว่า การแยกขั้วกันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างชัดเจนระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก คือ สหรัฐฯและจีน หลังจากผนวกร่วมเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลกมาหลายสิบปีอาจจะทำให้อัตราการเติบโตของ GDP ของโลก ลดลงร้อยละ 7 แต่ความอ่อนแอของ GDP บางประเทศ อาจจะสูงถึงร้อยละ 8-12 ถ้าหากสหรัฐฯและจีนแยกการผลิตเทคโนโลยีออกจากกันด้วย

          IMF ระบุว่า แม้แต่การแยกขั้วทางเศรษฐกิจในวงจำกัดยังสามารถจะทำให้การเติบโตของ GDP ทั่วโลก ลดลงร้อยละ 0.2 แต่ IMF ระบุว่า IMF จะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งศึกษาวิจัยเพิ่มเติม จึงจะประเมินผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ และเครือข่ายความปลอดภัยทางการเงินระดับโลก (Global Financial Safety Net) ที่เป็นผลมาจากการแตกขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง

          IMF ระบุว่า สินค้าและเงินทุนเกิดการไหลเวียนไปทั่วโลกในลักษณะกระจายเฉลี่ยเท่าๆกัน หลังวิกฤตการเงินทั่วโลก ระหว่างปี 2551-2552 หลังจากนั้น มีการใช้มาตรการกีดกันการค้าเกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น สงครามการค้าสหรัฐฯและจีนในปี 2561 ต่อมา การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่แล้ว และการบุกยูเครนของรัสเซียเมื่อปีที่แล้วเป็นเสมือนบททดสอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพิ่มเติม อีกทั้งเพิ่มข้อสงสัยต่างๆมากขึ้นในเรื่องประโยชน์ที่ประเทศต่างๆจะพึงได้รับจากโลกาภิวัตน์ (Globalisation)

          IMF ระบุว่า การที่ทั่วโลกกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิดช่วยลดปัญหาความยากจนทั่วโลกมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งเกิดผลดีต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจาก สินค้ามีราคาถูกลง การที่ทั้งสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น จีนและสหรัฐฯ ตัดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจะกระทบต่อกลุ่มประเทศที่มีรายได้ต่ำอย่างรุนแรงและกระทบผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำในประเทศที่มีพัฒนาแล้วด้วย จะทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่มีแรงงานมีฝีมือจากประเทศกำลังพัฒนาเข้าไปทำงาน และทำให้แรงงานจากประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถเข้าไปทำงานและส่งเงินกลับประเทศ การเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะลดลง และการลดความร่วมมือระหว่างประเทศเสี่ยงทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคสำคัญๆไม่กระจายไปทั่วโลก

#IMF

#การแยกขั้วทางเศรษฐกิจ

#โลกาภิวัฒน์