ผู้ป่วยโควิดในอังกฤษกว่า 4.7 ล้านคน ให้ข้อมูลโอไมครอนสายพันธุ์ใหม่ รุนแรงลดลง อาการเด่น เจ็บคอ

16 มกราคม 2566, 08:49น.


          ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics รายงานเรื่องการใช้ “อาการ” มาช่วยระบุสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่สายพันธุ์ดั้งเดิม อู่ฮั่น อัลฟา เดลตา มาจนถึงสายพันธุ์ปัจจุบันโอไมครอน BA.1, BA.2, BA.5, BQ.1, และ BQ.1.1



          ปัจจุบันการตรวจสอบสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ทางห้องปฏิบัติการทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลโอไมครอนซึ่งเกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่มากมายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นมา ซึ่งพบว่าโอไมครอนสายพันธุ์อุบัติใหม่ เช่น BQ.1, BQ.1.1, XBB, XBB.1.5 สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ ดื้อต่อยาฉีดเสริมภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่แตกต่างกัน รวมถึงความจำเป็นที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดเชื้อดื้อยาต้านไวรัสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต



          อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศขณะนี้ได้ปรับลดจำนวนการตรวจ “PCR” และ “การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (whole covid genome sequencing)” ลงอย่างมาก เนื่องจาก ปัญหาด้านงบประมาณ โดยใช้การตรวจการติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ATK (ว่าเป็นบวกหรือตรวจพบเชื้อ) ที่มีราคาย่อมเยาและสามารถตรวจได้ด้วยตนเองในทุกสถานที่มาทดแทน



          แม้ต้นทุนการตรวจ “PCR” และ “การถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019” จะสูงแต่ก็มีความสำคัญเพื่อใช้ติดตามการกลายพันธุ์เพื่อศึกษาวิวัฒนาการของบรรดาไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มสายพันธุ์ใหม่ที่อุบัติขึ้นมาแทนที่สายพันธุ์เดิมที่ลดจำนวนลงเพื่อสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกับอาการทางคลินิกที่เปลี่ยนไป เพื่อใช้ในการป้องกัน ดูแล และรักษาโรคโควิด-19 ได้ทันต่อเหตุการณ์



          ดังนั้นหากเราสามารถใช้อาการที่จำเพาะมาช่วยระบุถึงสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 (variant-specific symptom) โดยเฉพาะตระกูลโอไมครอนเบื้องต้นได้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากอีกทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคตเพื่อส่งเสริมการป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคโควิด-19 ที่มีการลดจำนวนการตรวจ PCR และลดการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมลง



          จากข้อมูลสำคัญที่ได้จากอาสาสมัครผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศอังกฤษจำนวนกว่า 4.7 ล้านคน ซึ่งช่วยกรอกอาการที่ตนเองประสบตั้งแต่โควิดเริ่มระบาดจนถึงปัจจุบันแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ภายใต้โครงการที่ไม่แสวงหากำไร “Zoe Heath study” ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้นำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ประเมินผลโควิด-19 ในหลายมิติ



          โดยหากเปรียบเทียบโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมที่เริ่มระบาดในเดือนมกราคม 2565 กับอาการผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์อุบัติใหม่ BQ.1 และ BQ.1.1 ที่พบระบาดในเดือนพฤศจิกายน 2565 พบว่ามีอาการความรุนแรงลดลง



          หากเรียง 5 ลำดับอาการที่พบมากไปหาน้อยในผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม “BA.1” พบว่ามีอาการ



1. อาการน้ำมูกไหล



2. ปวดหัว



3. เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย



4. จาม



5. เจ็บคอ



          ส่วนหากเรียง 10 ลำดับอาการที่พบมากไปหาน้อยในผู้ติดโอไมครอนสายพันธุ์หลักเดือนพฤศจิกายน 2565 คือ BA.5 และลูกหลาน BQ.1, BQ.1.1 จะเป็นดังนี้



1. อาการเจ็บคอ



2. อาการน้ำมูกไหล



3. จมูกที่ถูกบล็อก



4. จาม



5. อาการไอโดยไม่มีเสมหะ



6. ปวดหัว



7. ไอมีเสมหะ



8. เสียงแหบ



9. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ



10. ความรู้สึกของกลิ่นที่เปลี่ยนไป



          สังเกตได้ว่าโอไมครอนสายพันธุ์ปัจจุบัน BA.5, BQ.1 และ BQ.1.1 เมื่อเปรียบเทียบกับอาการโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 แม้จะอยู่ในตระกูลโอไมครอนที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับบรรดาโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม (อู่ฮั่น อัลฟา และ เดลตา) คือมีการติดเชื้อบริเวณระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ส่วนบน (upper respiratory tract infection) ไม่ติดเชื้อลงลึกบริเวณระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ส่วนล่าง (lower respiratory tract) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิต แต่ยังสังเกตพบว่าโอไมครอนสายพันธุ์ปัจจุบัน BQ.1, และ BQ.1.1 เมื่อเทียบกับโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 จะมีอาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่รุนแรงน้อยกว่า คือ พบอาการนำในผู้ติดเชื้อ BQ.1, และ BQ.1.1 เป็น “เจ็บคอ” ส่วนอาการปวดหัว เหนื่อยล้า อ่อนเพลียที่พบมากในผู้ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.1 นั้นลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้อาการของแต่ละสายพันธุ์มีความหลากหลายเนื่องจาก การกลายพันธุ์ในระดับจีโนมแล้ว ยังอาจเนื่องมาจากภูมิหลังของผู้ติดเชื้อที่แตกต่างกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและการได้รับการฉีดวัคซีนประเภทต่างๆ



          การศึกษาของ “ZOE Covid study” พบว่าอาการของโควิดสายพันธุ์ "ดั้งเดิม" (ไวรัสอู่ฮั่น อัลฟา เดลตา) ซึ่งระบาดในช่วง 1-2 ปีแรก โดยเฉพาะการสูญเสียการได้กลิ่น (anosmia) หายใจถี่ และมีไข้ ปัจจุบันพบได้น้อยมาก อาการสูญเสียการได้กลิ่นตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 14 และอาการหายใจถี่ (จากการติดเชื้อที่ปอด ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต)ตกลงมาอยู่ที่อันดับที่ 16 จากอาการที่เคยพบได้บ่อยในช่วงการระบาดของโควิดในช่วงแรก



          การติดเชื้อโควิดในยุคแรกอาการเด่น คือ สูญเสียการได้กลิ่นซึ่งเคยใช้เป็นตัวชี้สำคัญของการติดเชื้อโควิด(ซึ่งเป็นไปได้ว่าลำดับพันธุกรรมของไวรัสสามารถเข้าไปควบคุมการแสดงออกของยีนตัวรับกลิ่น “olfactory receptors” ของเซลล์ผู้ติดเชื้อ แม้เซลล์นั้นจะไม่ติดเชื้อก็ตาม ทำให้การรับรู้กลิ่นหรือรสทั้งระบบลดลงหรือสูญเสียไปชั่วระยะหนึ่ง)



          ขณะนี้มีพบเพียงประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อ อาการเด่นได้เปลี่ยนมาเป็นอาการเจ็บคอแทน ซึ่งเป็นอาการของการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจส่วนบนเช่นเดียวกับบรรดาไวรัสไข้หวัด ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เอง เพราะปอดไม่ได้ถูกทำลาย



          ส่วนอาการของโอไมครอนสายพันธุ์ล่าสุด XBB, XBB.1.5 ยังต้องรอประเมินข้อมูลจาก “ZOE Covid study” อีกระยะหนึ่งเพราะเพิ่งมีการระบาดในเดือนธันวาคม 2565-มกราคม 2566 แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ คาดว่า อาการไม่น่าจะรุนแรงแตกต่างไปจากโอไมครอน BQ.1 และ BQ.1.1 มากนัก



          การศึกษาจากประชากรอายุมากกว่า 18 ปี ในประเทศอังกฤษ จำนวน 1.5 ล้านคน ที่ติดเชื้อโควิด-19 พบอาการทางคลินิกที่จำเพาะของโควิด-19 แต่ละสายพันธุ์  ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ “Nature” ในวันที่ 11 พ.ย. 2565



 



#อาการโควิดโอไมครอน



CR:Center for Medical Genomics 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X