รัฐบาลเมียนมา มีแนวโน้มเพิ่มการใช้ความรุนแรงปราบปรามฝ่ายค้าน

          เมื่อเดือนกรกฎาคม (2565) เมียนมามีการใช้โทษประหารชีวิตเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งได้แก่นักเคลื่อนไหว 4 คน สหรัฐฯ และพันธมิตรต่างประณามการประหารชีวิต แต่ในเดือนธันวาคม ศาลทหารตัดสินประหารชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย 7 คน จากข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการยิงนายทหารนอกราชการ ซึ่งบลูมเบิร์ก รายงานว่า มีการประหารชีวิตไปแล้วมากกว่า 130 คน นับตั้งแต่มีการยึดอำนาจและปลดนางออง ซาน ซูจี ลงจากตำแหน่งผู้นำ ซึ่งขณะนี้โทษจำคุกของเธอถูกขยายเวลาออกไปเป็น 33 ปี

          ในสัปดาห์ที่แล้ว คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมายุติการใช้ความรุนแรงและปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด แต่จีน รัสเซีย และอินเดียไม่ลงคะแนนเสียงสนับสนุน ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศเห็นว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลเมียนมาเพิ่มการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มฝ่ายค้าน

          นายริชาร์ด ฮอร์ซีย์ นักวิชาการจากอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิสกรุ๊ป (International Crisis Group) กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรที่มุ่งเป้าไปที่ผู้นำรัฐบาล หน่วยงานธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการอพยพของนักลงทุน สร้างความเสียหายต่อการเงินของรัฐบาลได้ส่วนหนึ่ง เพราะรัฐบาลยังคงควบคุมระบบเศรษฐกิจ และผลประโยชน์ โดยเฉพาะการส่งออกก๊าซธรรมชาติ

          ขณะเดียวกันกลุ่มติดอาวุธ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ของเมียนมายังคงแตกแยก มีการสู้รบเกิดขึ้นทั่วประเทศ ความช่วยเหลือจากนานาชาติดำเนินไปอย่างยากลำบาก ทั้งในปัจจุบันความช่วยเหลือจากตะวันตกมุ่งไปที่ยูเครน และความพยายามทางการทูตไม่ได้ผล

          นายฮันเตอร์ มาร์สตัน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในเมลเบิร์น กล่าวว่ารัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญกับแรงกดดันจากภายนอกเพียงเล็กน้อย แม้เศรษฐกิจจะทรุดโทรมลงอย่างชัดเจน โดยในปีที่แล้วเศรษฐกิจหดตัวลงถึงร้อยละ 18 มีภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ค่าเงินอ่อนค่าลง และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศหดตัว โดยมีการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศเพียง 1,460 ล้านดอลลาร์ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งลดลงร้อยละ 56.4 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งทำให้จีนและรัสเซียมีความสำคัญอย่างมาก โดยยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ

….

#เมียนมา

#ปราบปรามฝ่ายค้าน