สถานการณ์โควิด-19 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics รายงานข้อมูลขององค์การอนามัยโลก(WHO) ที่นพ. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO และ ดร.มาเรีย ฟาน เคอร์โคฟ หัวหน้าด้านเทคนิคของ WHO และหัวหน้าแผนกโรคอุบัติใหม่และโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนในโครงการภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพของ WHO แถลงส่วนหนึ่งว่า
ข้อมูลจากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “กิสเสด” พบโอไมครอน CH.1.1 ในหลายประเทศโดยเริ่มต้นการระบาดมาจากประเทศออสเตรีย
• ออสเตรีย จำนวน 150 ราย คิดเป็น 0.209%
• อังกฤษ จำนวน 137 ราย คิดเป็น 0.088%
• ออสเตรเลีย จำนวน 129 ราย คิดเป็น 0.246%
• สหรัฐฯ 74 ราย คิดเป็น 0.011%
• เดนมาร์ก จำนวน 54ราย คิดเป็น 0.060%
• ฮ่องกง จำนวน 27 ราย คิดเป็น 0.516%
• ญี่ปุ่น จำนวน 26 ราย คิดเป็น 0.017%
• เกาหลีใต้ จำนวน 20 ราย คิดเป็น 0.051%
• เนเธอร์แลนด์ จำนวน 17 ราย คิดเป็น 0.070%
• อินเดีย จำนวน 16 ราย คิดเป็น 0.047%
• ลิกเตนสไตน์ จำนวน 13 ราย คิดเป็น 3.171%
• อิสราเอล จำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.020%
• สิงคโปร์ จำนวน 10 ราย คิดเป็น 0.110%
• ไทย จำนวน 9 ราย คิดเป็น 0.188%
โอไมครอน “CH.1.1” ซึ่งเป็นรุ่นลูกของ BA.2.75 เนื่องจาก ในประเทศไทย CH.1.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เหนือกว่า BA.5 ประมาณ 135% และเหนือกว่า BA.2.75* ประมาณ 150% ทำให้มีแนวโน้มที่ CH.1.1 อาจระบาดมาแทนที่ BA.5 และ BA.2.75 ได้ ขณะนี้พบ“CH.1.1” ในไทยแล้ว 9 ราย
WHO สรุปว่าปลายปีนี้ต่อปีหน้า 2566 ยังคงต้องตรวจ PCR และสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต (COVID genomic surveillance) อย่างเข้มข้น พร้อมกับการเรียนรู้ผลกระทบระยะยาวที่ประชาชนสัมผัสกับไวรัส SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่องมากว่า 3 ปีที่จะชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผลกระทบของการติดเชื้อซ้ำแม้จะฉีดวัคซีนป้องกัน (breakthrough infection) ที่เรียกว่า " ไม่รุนแรง (mild)" รวมถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะวัคซีนสองสายพันธุ์ (bivalent vaccine)
#โควิด19
#WHO
CR:Center for Medical Genomics