บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมประกาศปลดพนักงาน 11,000 คนหรือคิดเป็นร้อยละ13 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดมากกว่า 87,000 คน หลังจากรายได้ลดลงจากโควิด-19 แพร่ระบาด และแม้ว่าสถานการณ์โควิดจะผ่านไปแล้ว แต่รายได้ก็ยังไม่กลับมา เฟซบุ๊กจึงต้องดำเนินนโยบายที่เน้นลดภาระด้านต้นทุนและการทำงานที่ได้ประสิทธิผล โดยตัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน และปรับแผนการใช้ทรัพยากรที่ให้ความสำคัญกับส่วนงานที่มีโอกาสเติบโตสูง เช่น งานโฆษณา AI เมตาเวิร์ส
นอกจากนี้ เมตายังประกาศแผนปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และขยายระยะเวลาในการระงับการจ้างพนักงานใหม่จนถึงไตรมาสแรกของปี 2566 การประกาศปลดพนักงานดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่เมตาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมีกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 ขณะที่ธุรกิจเมตาเวิร์สขาดทุนอย่างหนักนับตั้งแต่ต้นปีนี้ เมตาเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 1.64 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.89 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ เมตาคาดว่า รายได้ในไตรมาส 4 จะอยู่ในช่วง 3.0-3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.22 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน เมตาเปิดเผยว่า Reality Labs ซึ่งดูแลธุรกิจเมตาเวิร์ส ประสบภาวะขาดทุน 3.67 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 และหากพิจารณาตั้งแต่ต้นปีนี้ Reality Labs มีตัวเลขขาดทุนมากถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 346,000 ล้านบาท ราคาหุ้นเมตาทรุดตัวมากกว่า 70% ในปีนี้ และเป็นบริษัทที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในดัชนี S&P 500 ในปี 2565
การลดพนักงานครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2004 หรือในรอบ 18 ปี นอกจากเจอวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว ยังเจอคู่แข่งที่มาแรงอย่าง TikTok รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Apple รวมทั้งยังขาดทุนจากการลงทุนเมตาเวิร์สถึง 9,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่มีผลตอบแทนกลับมา จนราคาหุ้นตกลง 70% และมูลค่าทางการตลาดหายไปถึง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตามหลังประกาศปลดพนักงาน ปรากฏว่า ราคาหุ้นบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่งบริษัทแม่ของเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม พุ่งขึ้นในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทใน เมื่อวลา 19.15 น.ตามเวลาไทย ราคาหุ้นเมตาพุ่งขึ้นร้อยละ4.59 สู่ระดับ 100.90 ดอลลาร์
#ปลดพนักงาน
#เมตา