ปธน.สหรัฐฯ เตรียมร่วมการประชุม COP27 ที่อียิปต์ แต่นายกฯสหราชอาณาจักรไม่เข้าร่วมการประชุม

29 ตุลาคม 2565, 10:30น.


          ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ยืนยันว่า ในวันที่ 11 พฤศจิกายน นี้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ จะเดินทางไปอียิปต์เพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 27 ของภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP27) ในเมืองชาร์ม เอล-ชีค ประเทศอียิปต์ เพื่อสานต่อการทำงานที่สำคัญของสหรัฐฯ ในการต่อสู้ด้านสภาพอากาศโลกและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ โดยจะมีการย้ำถึงความจำเป็นที่โลกจะต้องดำเนินการภายในทศวรรษนี้ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนพยายามผลักดันร่างกฎหมาย เพื่อใช้เงินงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ในการริเริ่มด้านพลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573



          และหลังจากการประชุมที่อียิปต์เสร็จสิ้นลง เขาจะเดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดประจำปีระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในวันที่ 12-13 พฤศจิกายน จากนั้นจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันที่ 13-16 พฤศจิกายน



          ด้านนายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ผู้นำคนใหม่ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการประชุม COP27 เนื่องจากมีภาระผูกพันเร่งด่วนภายในประเทศแต่จะมอบให้รัฐมนตรีไปเข้าร่วมการประชุม ซึ่งทำให้พรรคการเมืองฝ่ายค้าน และกลุ่มสิ่งแวดล้อมระบุว่า นายกรัฐมนตรีซูนัคล้มเหลวในการเป็นผู้นำ และเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง



          โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าภาพจัดการประชุม COP27 ได้พบปะกับตัวแทนจากประธานการประชุม COP สมัยก่อนหน้าเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการประชุม COP27 ซึ่งจะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 ถึง 18 พฤศจิกายน โดย COP27 จะยกประเด็นด้านภูมิศาสตร์การเมืองเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญ ทั้งสถานการณ์ในยูเครน ราคาพลังงานแพง และแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมร่วมกันขจัดอุปสรรคที่กีดกันการเจรจาอย่างมีประสิทธิผลและนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงในท้ายที่สุด



          คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (ไอพีซีซี) รายงานว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 43 ภายในปี 2573 คือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้สูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส จากยุคอุตสาหกรรม ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในความตกลงปารีส เมื่อปี 2558 ซึ่งประชาคมโลกยังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย



          ประชาคมโลกกำลังเผชิญหน้ากับภาวะ “โลกรวน” คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่เป็นเวลานานขึ้น บางพื้นที่มีน้ำท่วมสูง บางพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ธารน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางภาวะที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มสูงขึ้น 1.1-1.2 องศาเซลเซียสแล้ว เป็นเหตุให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ต่างเรียกร้องให้แต่ละประเทศแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างจริงจัง



          โดยนับตั้งแต่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ปี 2564 มีเพียง 24 ประเทศเท่านั้นที่มีการรายงานและแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับชาติ ซึ่งไอพีซีซี ระบุว่า เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอุณหภูมิเฉลี่ยโลกอาจสูงขึ้นเกิน 2.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2643





#COP27



#สหรัฐอเมริกา

ข่าวทั้งหมด

X