เลขาฯสภาพัฒน์ เปิดข้อมูลเศรษฐกิจไทย ย้ำเร่งเยียวยา-ฟื้นฟูหลังโควิดคลี่คลาย

27 ตุลาคม 2565, 18:42น.


          นายดนุชา  พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามรายงานของธนาคารโลก "Thailand Rural Income Diagnostic: Challenges and Opportunities for Rural Farmers” เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ระบุถึงความยากจน ความแตกต่างกันของความยากจนระหว่างพื้นที่ และสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทย โดยระบุว่า สถานการณ์ความยากจนและผลกระทบของ COVID-19  ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยหดตัวอย่างรุนแรง โดยในปี 2563 หดตัวถึงร้อยละ 6.2 และส่งผลให้ผู้ว่างงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 6.5 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.4 (อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 1.0 เป็น ร้อยละ 1.69) ส่งผลให้สัดส่วนคนจนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.26 ในปี 2562 (จำนวนคนจน 4.3 ล้านคน) เป็นร้อยละ 6.83 ในปี 2563 (จำนวนคนจน 4.7 ล้านคน) อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 สถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยสัดส่วนคนจนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.32 หรือมีคนจนเหลือเพียง 4.4 ล้านคน เท่านั้น และเมื่อพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่า ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีปัญหาความยากจนสูงที่สุด โดยมีสัดส่วนคนจนร้อยละ 11.6 (จำนวนคนจน 1.1 ล้านคน) รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร โดยมีสัดส่วนคนจนร้อยละ 11.5, 6.84, 3.24 และ 0.49 ตามลำดับ 



          อย่างไรก็ตามในปี 2563 -2564 เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทย รัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบและเยียวยาผู้ที่ได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาด อาทิ โครงการเราชนะ โครงการ ม. 33 เรารักกัน และโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ รวมถึงการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ฯ เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค รวมทั้งมาตรการต่างๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศให้ปรับตัวดีขึ้น และช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มลดระดับความรุนแรงลง มีการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการหดตัวร้อยละ 6.2 ในปี 2563  อัตราการว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ในไตรมาสที่สุดท้ายของปี 2564 จากร้อยละ 1.9 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 



          สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงได้รับแรงส่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากปีก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 2.3 และร้อยละ 2.5 ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง ตามลำดับ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดโควิด-19



 



#สภาพัฒน์



#ธนาคารโลก



 

ข่าวทั้งหมด

X