นายฟาติห์ บิโรล ผู้อำนวยการบริหารขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)กล่าวต่อเวทีประชุมด้านพลังงาน International Energy Week ในสิงคโปร์ในวันนี้ว่า การที่ตลาดก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)ทั่วโลกเริ่มตึงตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และการที่บริษัทพลังงานรายใหญ่ของโลกปรับลดกำลังการผลิตพลังงาน รวมทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ทำให้โลกเริ่มประสบวิกฤตด้านพลังงานอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
นายบิโรล กล่าวว่า การที่ยุโรปนำเข้าก๊าซ LNG มากขึ้นนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ เช่นเดียวกับจีนที่นำเข้าก๊าซ LNG เพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ ทำให้ตลาดก๊าซ LNG ทั่วโลกเริ่มตึงตัวมากขึ้น คาดว่า จะมีปริมาณก๊าซ LNG เพียง 20,000 ล้านลูกบาศก์เมตรเข้าสู่ตลาดโลกในปีหน้า
ส่วนน้ำมันดิบ นายบิโรล คาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกใกล้แตะ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ และในปีหน้า หมายความว่า ตลาดโลกยังคงต้องการน้ำมันดิบจากรัสเซีย มาช่วยเติมเต็มความต้องการตลาดโลก พร้อมกล่าวถึงมาตรการของกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก(G-7) เรื่องจำกัดเพดานขายน้ำมันดิบรัสเซียในตลาดโลก หวังลดรายได้จากการขายน้ำมันดิบของรัสเซียเพื่อใช้จ่ายการปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ระบุว่าเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดต่างๆอีกมากที่กลุ่มจี-7 จะต้องสรุปข้อตกลงก่อนใช้บังคับ เพื่อให้เกิดความชัดเจน
นายบิโรล วิจารณ์กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และชาติพันธมิตร หรือที่เรียกว่า กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) หลังมติเมื่อเร็วๆนี้ให้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ระบุว่า มติของกลุ่ม OPEC+ จะทำให้ตลาดพลังงานทั่วโลกตึงตัวมากยิ่งขึ้น ระบุว่าการตัดสินใจของกลุ่ม OPEC+ เสี่ยงทำให้หลายประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทั้งเสี่ยงทำให้เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ที่ผ่านมา ราคาพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน แพงขึ้นทั่วโลก ซ้ำเติมผู้บริโภคซึ่งเดือดร้อนจากวิกฤตอื่นๆเช่น อาหารมีราคาแพง และเงินเฟ้อสูงขึ้น หลายฝ่ายคาดว่า ราคาพลังงานแพงขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นที่หลายประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู)จะต้องใช้วิธีแบ่งปันกระแสไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติสำหรับผู้บริโภคในช่วงฤดูหนาวที่จะถึงระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
#ไออีเอ
#ตลาดก๊าซLNG
#ตลาดพลังงานโลก