ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19กลายพันธุ์ XBB แล้ว 2 คน จากฮ่องกง-สิงคโปร์

17 ตุลาคม 2565, 14:48น.


          การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ไทยตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XBB จำนวน 2 คน แบ่งเป็น 



-รายแรกเป็นหญิงชาวต่างชาติ อายุ 60 ปี ผู้ป่วยมีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยผู้ป่วยไม่ได้ให้ประวัติไว้ แต่ผู้ป่วยแจ้งที่อยู่กับทางโรงพยาบาล คือ ฮ่องกง ขณะป่วยได้พักที่โรงแรมแห่งหนึ่งระหว่างกักตัวผู้ป่วยไม่มีอาการไอ ไม่มีไข้ และหายเป็นปกติแล้ว



-รายที่สอง เป็นหญิงไทย อายุ 49 ปี ผู้ป่วยให้ประวัติอาศัยอยู่ในประเทศไทย ขณะป่วยอาศัยที่บ้าน เบื้องต้นมีประวัติเดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์ ระหว่างกักตัวผู้ป่วยมีอาการไอ ระคายคอ ไม่มีไข้ และหายเป็นปกติแล้ว





          นอกจากนี้ ประเทศไทยยังพบสายพันธุ์ BF.7 ทั้งหมด 2 คน รายแรกเป็นชายชาวต่างชาติ อายุ 16 ปี อาศัยอยู่ในประเทศไทย กรุงเทพมหานคร มีอาการไอ เจ็บคอเล็กน้อย ส่วนรายที่สองเป็นหญิงไทย อายุ 62 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงแต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง (กลุ่ม 608)



          ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังพบสายพันธุ์ BN.1 จำนวน 3 คน และพบเพิ่มเติมจำนวน 7 คน แต่ยังอยู่ระหว่างนำเข้าเผยแพร่บนฐานข้อมูล GISAID ส่วนสายพันธุ์ BQ.1.1 ยังไม่พบรายงานในประเทศไทย พร้อมย้ำว่า ปัจจุบัน สายพันธุ์ BA.5 ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในไทย



 สำหรับโอไมครอน สายพันธุ์ย่อย XBB เป็นสายพันธุ์ผสมระหว่างสายพันธุ์ BJ.1 (BA.2.10.1.1) และ BM.1.1.1 (B.2.75.3.1.1.1)  โดยมีบรรพบุรุษร่วมกันคือ BA.2   



ส่วนสายพันธุ์ BF.7 เป็นสายพันธุ์ลูกหลานของ BA.5.2.1 มีความสามารถในการแพร่ระบาดน้อยกว่า XBB และ BQ.1.1 พบในจีน และแพร่ไปยังเบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส เดนมาร์ก และอังกฤษ



       อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วันนี้สายพันธุ์ที่น่าสนใจ คือ BA.2.75.2 มี 8 ราย  BN.1 มี 10 ราย BF.7 มี 2 ราย และ XBB อีก 2 ราย  แต่ส่วนใหญ่คนติดเชื้อยังเป็น BA.5 พันธุ์ย่อยๆมีบ้าง แต่ขอย้ำว่า ประชาชนอย่าเพิ่งตกใจ เพราะตระกูลโอไมครอน แม้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ไม่รุนแรง ซึ่งหากมีอาการก็ขอให้ตรวจหาเชื้อ จะได้ลดการแพร่เชื้อ เพราะหลักการหากลดการแพร่เชื้อ ก็ลดการกลายพันธุ์ได้ ดังนั้น มาตรการที่ใช้อยู่อย่างการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะการไปอยู่ในที่คนจำนวนมากยังช่วยได้ และการล้างมือบ่อยๆ ก็ช่วยได้เหมือนเดิมอีกเช่นกัน รวมทั้งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และในกรณีที่ฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 4-6 เดือนขอให้มาฉีดกระตุ้น



          สำหรับในขณะนี้มีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น และมีการจัดกิจกรรม ประเพณีต่างๆอย่างงานสมุทรปราการ ที่มีคนร่วมงานมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำให้มีการแพร่ระบาดเชื้อกลายพันธุ์ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ยังใช้หลักการทั่วไป ที่ใดที่มีกิจกรรมมีการรวมกันของคนหมู่มาก เป็นไปได้ขอให้ตรวจ ATK ก่อนไปร่วมงาน แต่ต้องตรวจก่อนไปให้ใกล้เวลาที่จะไปร่วมงาน อย่าไปตรวจก่อนล่วงหน้า 5 วันไม่มีประโยชน์ และมาตรการใส่หน้ากากยังต้องทำ เพราะป้องกันการแพร่เชื้อได้ อย่างไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ก็ป้องกันได้ ซึ่งเราไม่ได้ห้ามจัดกิจกรรม แต่ขอให้ป้องกันตัวได้ ก็ป้องกัน



          ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิดในไทยลดลงต่อเนื่องทั้งผู้ติดเชื้อ ป่วยหนัก เสียชีวิต โดยรอบสัปดาห์เสียชีวิต 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608 และไม่ฉีดวัคซีน ส่วยอัตราครองเตียง 4.9 % กลุ่มเสี่ยงปอดอักเสบ 2.2 พันคน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 2.9 พันราย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรื่อยๆ ก็คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยนอนรพ.เพิ่มขึ้นได้ แต่การเสียชีวิตคาดว่าต่ำ เพราะการแพร่ระบาดคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล



          ดร.นพ.อาชวินทร์ โรจนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูฝน ต่อด้วยฤดูหนาว อาจทำให้ผู้ป่วยอาการคล้ายไข้หวัดมากขึ้น จึงแนะนำให้ตรวจ ATK เบื้องต้นก่อนพบแพทย์ เพราะช่วงนี้มีไข้หวัดอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตรวจ RT-PCR ลดลง แต่ระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์ไม่ได้ลดความเข้มข้นลง จึงขอความร่วมมือ รพ. ส่งตัวอย่างเชื้อ กลุ่มอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต ผู้ที่มาจากต่างประเทศแล้วป่วย กลุ่มคลัสเตอร์ กลุ่มที่ภูมิฯ บกพร่อง กลุ่มที่รับวัคซีนเข็มสุดท้ายยังไม่เกิน 3 เดือน แต่มีอาการป่วยจากโควิด และกลุ่มบุคลากรการแพทย์ มายังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 14 แห่งทั่วประเทศ



 



#โควิด19



CR:FB กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์



 

ข่าวทั้งหมด

X