ประธานาธิบดี โจ ไบเดน สหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาไม่กังวลที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินในสกุลอื่น แต่เขามีความกังวลเกี่ยวกับส่วนอื่น ๆ ของโลก ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและนโยบาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯมากนัก
คำกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐทำให้มีความกังวลว่าอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงไปอีก หลังจากอ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 32 ปี
ตั้งแต่ต้นปีนี้ (2565) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนเพิ่มการลงทุนในเงินดอลลาร์สหรัฐ ผลักดันให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น และช่วยให้สหรัฐฯ สามารถตรึงอัตราเงินเฟ้อไว้ได้ เมื่อราคาสินค้านำเข้าลดลง แต่ส่งผลกระทบในทางลบต่อประเทศยากจน ที่มีต้นทุนการนำเข้าเพิ่มขึ้น และภาระหนี้ที่เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ
ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกและเป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากร เพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับค่าเงินที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้ (ก.ย.) ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงใกล้เส้น 146 เยนต่อดอลลาร์ ธนาคารกลางได้เข้าแทรกแซงตลาดด้วยการซื้อเยนและขายดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2541 แต่ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (14 ตค.) ค่าเงินของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงมาที่ 148.86 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2533 ทำให้กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นออกคำเตือนว่าทางการพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากค่าเงินยังมีความผันผวนมากเกินไป
นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ ว่า สหรัฐฯ มี “ความสนใจ” ต่อปัญหาการตึงตัวทางการเงินที่ล้นเกินจากประเทศพัฒนาแล้วไปสู่ส่วนอื่นๆ ของโลก แต่เธอเห็นว่าการที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า สะท้อนถึงความแตกต่างกันอย่างมากในปัญหาทางเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ กำลังเผชิญอยู่และความแตกต่างของนโยบายเศรษฐกิจ และเธอยืนยันว่า สหรัฐฯสนับสนุนการใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ตลาดเป็นผู้กำหนด
...
#ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
#โจไบเดน