ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศหรือจี7 ร่วมการประชุมฉุกเฉินในรูปแบบของการประชุมทางไกล ตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และออกแถลงการณ์สนับสนุนยูเครน “ตราบนานเท่านาน” ('for as long as it takes') ทั้งในด้านการเงิน มนุษยธรรม การทหาร การทูต และกฎหมายต่อไป รวมถึงการประณามรัสเซียที่ผนวก 4 ดินแดนยึดครองในยูเครน และการโจมตีเป้าหมายพลเรือนในยูเครนว่าคืออาชญากรสงคราม ซึ่งกลุ่มจะให้ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดในการกระทำด้วย
ก่อนหน้านี้ กลุ่มนาโต ประกาศว่าจะสนับสนุนยูเครนต่อไปเช่นกัน
โดยเมื่อวันจันทร์ (10 ต.ค.) ต่อเนื่องจนถึงวันอังคาร (11 ต.ค.) กองทัพรัสเซียโจมตีด้วยขีปนาวุธในหลายพื้นที่ของยูเครน รวมถึงกรุงเคียฟ ในเวลากลางวัน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 19 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซึ่งประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวว่า เป็นการตอบโต้ที่ยูเครนโจมตีสะพานเคิร์ช ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างรัสเซียกับไครเมีย
แต่บรรดาผู้นำชาติตะวันตกต่างประณามการที่รัสเซียยกระดับปฏิบัติการทางทหารต่อยูเครน
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี เซเลนสกี แห่งยูเครน ยังเรียกร้องให้จี7 เพิ่มมาตรการลงโทษด้านพลังงานรัสเซีย และเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันทางอากาศ รวมถึงขอให้สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารที่บริเวณชายแดนยูเครนที่ติดต่อกับเบลารุส เนื่องจากประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ผู้นำเบลารุส มีนโยบายสนับสนุนรัสเซีย แต่หลังจากที่ยูเครนมีข้อเรียกร้องต่อจี7 ผู้นำเบลารุสก็เห็นชอบให้รัสเซียส่งกำลังทหารเข้ามาตามแนวชายแดนที่ติดต่อกับยูเครน โดยระบุว่า เป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามจากยูเครน
สำหรับกลุ่มจี7 ประกอบด้วยกลุ่มประเทศร่ำรวย 7 แห่งคือแคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย แต่ถูกกีดกันออกจากกลุ่มเนื่องจากการผนวกดินแดนไครเมีย ของยูเครนในปี 2557
…
#จี7
#ยูเครน
ข่าวทั้งหมด