กรมชลประทานปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอีก พร้อมประสานไปยังลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับมือ
โดยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2565 มีปริมาณน้ำ 1,077 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 112 ของความจุอ่างฯ และคาดการณ์ปริมาณน้ำที่จะเกิดจากปริมาณฝนตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ว่าจะมีปริมาณน้ำฝนไหลเข้าเขื่อนป่าสักฯ ในระหว่างวันที่ 8 - 14 ตุลาคม อีกเกือบ 500 ล้าน ลบ.ม. และวันที่ 14 ตุลาคม ปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะอยู่ที่ 1,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเกินความจุที่ระดับเก็บกักสูงสุด ที่ปริมาณ 960 ล้าน ลบ.ม.
เพื่อเป็นการควบคุมระดับน้ำและปริมาณน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม สอดคล้องตามมติที่ประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง กรมชลประทาน จำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯจากเดิมอัตรา 830 ลบ.ม./วินาที เป็นอัตรา 900 ลบ.ม./วินาที
โดยจะทยอยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่วันนี้ (8 ต.ค.) เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อน้ำจำนวนนี้ไหลลงไปรวมกับปริมาณน้ำจากคลองชัยนาท - ป่าสัก แล้วจะควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี S.26 ท้ายเขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยาในอัตราประมาณ 1,000 ลบ.ม./วินาที
ส่งผลให้พื้นที่ริมแม่น้ำป่าสัก ตั้งแต่ท้ายเขื่อนป่าสักฯ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ถึงเขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 0.30 - 0.50 เมตร
โดยปริมาณน้ำที่ระบายเพิ่มขึ้นจะส่งผ่านประตูระบายน้ำพระนารายณ์ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ระหว่างอัตรา 80 - 120 ลบ.ม./วินาที ลำเลียงน้ำลงสู่พื้นที่ตอนล่างตามแนวคลองเหนือใต้ เร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลโดยเร็วต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรมชลประทาน ได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และ กรุงเทพมหานคร ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนสถานการณ์น้ำในแม่น้ำป่าสัก ให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำป่าสัก เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
...
#น้ำท่วม
#ชลประทาน