กลุ่มพันธมิตรองค์กรพัฒนาเอกชน เดอะ บิ๊ก ชิฟ โกลบอล (The Big Shift Global) เผยแพร่รายงานระบุว่า ธนาคารโลกได้ใช้เงินงบประมาณสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกสูงถึง 14,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่มีข้อตกลงด้านสภาพอากาศของกรุงปารีส 2015 (พ.ศ. 2558) ซึ่งธนาคารโลกให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนให้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิส
รายงานฉบับนี้มีขึ้นท่ามกลางแรงกดดันให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ไล่ออก นายเดวิด มัลพาสส์ ประธานธนาคารโลก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อครั้งที่เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งกลุ่มองค์กรเอกชนระบุว่า ทุกครั้งที่ธนาคารโลกลงทุนในโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล จะหมายถึงภัยพิบัติด้านสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น และแนวทางหลักของธนาคารในการสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล คือการให้กู้ยืมแก่คนกลาง เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน และการเป็นผู้ค้ำประกัน
ภายใต้ข้อตกลงปารีส ที่มุ่งเน้นให้ภาคีสมาชิกตอบสนองต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในศตวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
แต่ในรายงานระบุว่า โครงการใหญ่ที่สุดที่ธนาคารโลกให้การสนับสนุนคือ ท่อส่งก๊าซทรานส์-อนาโตเลียน (Trans-Anatolian) ในอาเซอร์ไบจาน ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนมูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยธนาคารทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกัน และยังมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสองแห่งในอินโดนีเซียชื่อชวา9 และ 10 (Java 9,10) ซึ่งธนาคารได้จัดหาเงินทุนทางอ้อมจำนวน 65 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าเกาะชวาและบาหลีมีพลังงานไฟฟ้าสูงกว่าความต้องการใช้ถึงร้อยละ 40 แล้ว บ่งชี้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 แห่งทำให้เกิดภัยพิบัติมากขึ้นทั้งในแง่ของปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพ
...
#ธนาคารโลก
#เชื้อเพลิงฟอสซิส