ผู้ว่าฯธปท. ชี้ยังมีเงินไหลเข้าไทย แม้เงินบาทอ่อนค่า 38 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ

04 ตุลาคม 2565, 12:42น.


          การอ่อนค่าของเงินบาทแตะระดับ 38 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจัยมาจากดอลลาร์แข็งค่าเป็นหลัก โดยดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าถึง 17-18% และการที่บาทอ่อนค่า ไม่ได้เป็นเพราะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด พบว่ามีเงินไหลเข้าสุทธิราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทถือว่ายังเป็นการอ่อนค่าอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และธปท.จะไม่ฝืนทิศทางตลาด เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เราเคยมีบทเรียนจากวิกฤตปี 2540 มาแล้ว



          ผู้ว่าการธปท.ย้ำว่า การที่ได้เห็นเงินบาทอ่อนค่าไปแตะระดับ 38 บาท/ดอลลาร์ ไม่ได้หมายความว่าประเทศขาดเสถียรภาพ เพราะเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง เงินทุนสำรองฯ อยู่ในระดับสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก โดยเงินทุนสำรองฯ ต่อหนี้ต่างประเทศระยะสั้น มีสัดส่วนอยู่ที่ 3.2 เท่า ตลอดจนฐานะการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ก็มีความแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน ขณะที่คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย จะสามารถกลับมาเกินดุลได้ในปี 66



          สำหรับเศรษฐกิจไทยขณะนี้ มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง และทั่วถึงมากขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว และตลาดการเงินจะมีความผันผวนสูงก็ตาม โดยคาดการณ์ GDP ไทยปี 65 โต 3.3% ก่อนขยายตัวเป็น 3.8% ในปี 66 จากแรงส่งหลักจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อยู่ที่ 9.5 ล้านคน และเพิ่มเป็น 21 ล้านคนในปี 66 พร้อมเชื่อว่า จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดได้ราวปลายปีนี้ ถึงต้นปี 66



          สถานการณ์เงินเฟ้อของไทยว่า ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) อยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งถือว่าสูงหลุดกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินที่ระดับ 1-3% ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงมาจากด้านอุปทานเป็นสำคัญ และคาดว่าจะเริ่มทยอยคลี่คลายลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงกลางปี 66 ซึ่งทั้งปี 66 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6% จากในปีนี้เฉลี่ยที่ 6.3%



          ทั้งนี้ ต้องจับตาเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) อย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นตัวที่สะท้อนว่าเครื่องยนต์เงินเฟ้อของประเทศติดมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อพื้นฐานในระยะหลัง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงแล้ว



          ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินของไทย  ผู้ว่าธปท. ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ดอกเบี้ยของเราต่ำอย่างผิดปกติมายาวนาน ดังนั้นต้องปรับให้กลับเข้าสู่ภาวะที่ปกติ เพื่อดูแลเงินเฟ้อไม่ให้สูง...แต่เราก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และแรงแบบที่ทางสหรัฐอเมริกา หรือทางยุโรปทำกัน เพราะบริบทของเราไม่เหมือนกับเขา



          เมื่อมองไปข้างหน้าการที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องประกอบไปด้วย 3 แนวทาง คือ 1. การดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือน เพื่อให้ทยอยปรับลดลง จากปัจจุบันที่หนี้ครัวเรือน ไตรมาส 2/65 อยู่ที่ระดับ 88% ของจีดีพี ซึ่งจะต้องมีการแก้ปัญหาอย่างครบวงจร ทำให้ถูกหลักการ โดยจะไม่ใช้มาตรการช่วยเหลือแบบปูพรม ไม่ออกมาตรการที่สร้างภาระเพิ่มให้แก่ลูกหนี้ ขณะเดียวกันจะต้องไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ



2. ดูแลความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ให้ภาคการเงินช่วย Facilitate ให้เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน และ



3. จัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน Digital payments เช่น cross border payment, PromptBiz และ dStatement



 



#เงินบาทอ่อนค่า



#ธนาคารแห่งประเทศไทย 



CR:ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายการเงินกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน” 



แฟ้มภาพ

ข่าวทั้งหมด

X