แนวทางหลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19(ศบค.) เตรียมยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปรับโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังที่จะมีผลในวันที่ 1 ต.ค.65 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง การรายงานหลังวันที่ 1ต.ค.65 ว่าจะพิจารณาดูตัวเลขผู้เสียชีวิตและคนที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล ยืนยันว่ามีระบบเฝ้าระวังสายพันธุ์ การติดตามการติดเชื้อที่ผิดปกติ การติดตามการกลายพันธุ์ สถานการณ์ในตอนนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก กระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง ตรวจจับเหตุผิดปกติ หากมีเรื่องผิดปกติก็จะมาแจ้งให้ทราบ เนื่องจาก ตอนนี้คนไทยมีภูมิต้านทาน มียาและมีวัคซีนเข็มกระตุ้น และในวันที่ 1 ต.ค. 65 นพ.โอภาส จะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง นพ.โอภาส กล่าวว่า สถานการณ์ในไทยดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ พยายามลดผู้เสียชีวิตลงอีก แนวโน้มไทยเหมือนทั่วโลก และปรับระบบการควบคุมโรค เปิดกิจกรรม จัดเทศกาล แข่งกีฬา ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วม ไม่พบคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น ร้อยละ 92 มีภูมิและการฉีดวัคซีน ขณะนี้กรมควบคุมโรคกำลังสำรวจภูมิคุ้มกัน และจะรายงานอีกครั้งสิ้นเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้า คาดว่าปี 66 มีผู้ติดเชื้อเป็นไปตามฤดูกาลเหมือนไข้หวัดใหญ่ อาจจะพบการระบาดเป็นระยะในบางพื้นที่ ส่วนการฉีดวัคซีนในปีหน้าจะฉีด 1-2 ครั้ง ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง จะประมวลและรายงานอีกครั้ง การใส่หน้ากากอนามัย แนะนำใส่ในพื้นที่แออัด เช่น ขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล การตรวจATK แนะนำให้ตรวจเฉพาะคนที่มีอาการ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า หน่วยงานของรัฐ สามารถนำมาตรการที่มีอยู่มาแก้ปัญหาได้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จัดทำแผนปฎิบัติการรองรับโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เสนอแผนให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ความเห็นชอบ การลดระดับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง เป็นการลดระดับความเข้มข้นลงไปบ้าง เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ คาดว่า ไตรมาสสุดท้ายจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจเรื่องการรักษาพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ วัคซีน สามารถใช้สิทธิฉุกเฉินได้ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าต้องรีบรักษาอย่างเร่งด่วน พร้อมยกเลิกการรายงานสถานการณ์โควิดตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ แต่ระบบการติดตามเฝ้าระวังและรายงานผลในการสอบสวนยังดำเนินอยู่ปกติ
นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงเรื่องความพร้อมของเตียงในโรงพยาบาลว่ามีประมาณ 73,000 เตียง คนไข้ 4,800คน หรือ ร้อยละ 6 ที่ใช้เตียงทั้งหมดที่มีอยู่ ภาพรวมประมาณ 90% อยู่ในระดับไม่รุนแรง ถือว่าจำนวนลดลงมาก และในวันที่ 1 ต.ค. 65 นพ.สุระ จะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กำหนดมาตรการในการรักษาพยาบาล
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะไปทำหน้าที่อธิบดีกรมควบคุมโรคในวันที่ 1 ต.ค.65 ชี้แจงสิทธิการรักษา ยืนยันว่า รักษาฟรีตามสิทธิของทุกคน ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัย เตรียมความพร้อมเรื่องงบประมาณรองรับเรื่องยา กรณีผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน สามารถใช้สิทธิ UCEP Plus รักษาได้ทุกที่ทั้งของรัฐและเอกชน
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงแนวทางรักษาโควิด-19 ฉบับปรับปรุงล่าสุด ที่จะเสนอเข้าที่ประชุม EOC ในวันที่ 28 ก.ย.65 และเริ่มใช้วันที่ 1 ต.ค.65 เป็นต้นไป คือ หากติดเชื้อไม่มีอาการให้รักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) และปฏิบัติตามมาตรการ DMHT 5 วัน คนมีอาการแต่ไม่มีปัจจัยร่วมก็รักษาแบบผู้ป่วยนอก ปฏิบัติตาม DMHT เคร่งครัด 5 วัน หากมีปัจจัยเสี่ยงแพทย์จะประเมินเป็นรายๆ ว่าจะแอดมิดหรือไม่ ส่วนเรื่องการให้ยา หากไม่มีอาการก็จะไม่ให้ยา หากอาการไม่รุนแรง ปอดปกติ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่แนะนำให้อะไร อาจจะพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรหรือฟาวิพิราเวียร์ แต่ถ้าให้จะต้องทำให้เร็วที่สุดภายใน 3-4 วัน หากอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง พิจารณาให้กินแพกซ์โลวิดก่อน หากเข้าโรงพยาบาลก็ให้แรมเดซิเวียร์ ก่อนโมนูลพิราเวียร์ แต่กลุ่มนี้จะไม่ได้รับฟาวิพิราเวียร์ กรณีในเด็กต่ำกว่า 12 ปี ให้ดูแลรักษาตามอาการ หรืออาจให้ฟาวิพิราเวียร์ 5 วัน กรณีอายุเกิน 12 ปี อาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงจะให้แรมเดซิเวียร์ 3 วันแรก หรือฟาวิพิราเวียร์ 5 วัน หรือแพกซ์โลวิด 5 วัน หรือส่วนคนที่ปอดอักเสบจะให้แรมเดซิเวียร์ 5-10 วัน กรณีไม่มีปัญหาการกินยาหรือดูดซึมอาจให้แพกซ์โลวิด
#ปรับโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง
แฟ้มภาพ กรมควบคุมโรค