พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ในฐานะรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ยอมรับถึงความจำเป็นที่อาจจะต้องใช้กฎหมายใหม่ แทนกฎอัยการศึก ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ทำขึ้นมาใหม่ โดยคสช.ได้ให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการอยู่ แต่ยืนยันว่าขณะนี้ไม่มีใครเดือดร้อนเพราะกฎอัยการศึก เพราะเราใช้เพียง 2 กรณีเท่านั้น คือเรื่องตรวจค้นและสามารถจับกุมและเรียกตัว โดยไม่ต้องรอหมายจากศาล
แต่ปัจจุบันนี้ยังมีคนที่ไม่ปรารถนาดีอยู่ ก็จำเป็นที่ต้องมีกฎหมายมาดูแล ทั้งนี้ยังไม่กำหนดกรอบเวลาว่ากฎหมายใหม่จะต้องแล้วเสร็จเมื่อไหร่ เพียงแต่เราจะพยายามทุกอย่างเพื่อลดแรงกดดัน
สำหรับในวันนี้ พลเอกประวิตร ในสฐานะ รอง หัวหน้าคสช. ได้เชิญนักธุรกิจไทย มาร่วมหารือเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และแนวทางการแก้ไขปัญหา หลังสถานการณ์ส่งออกสินค้าไทยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่คาดว่ามูลค่าจะติดลบประมาณ ร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน พร้อมทั้งชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. ในส่วนของนักธุรกิจเข้าร่วม 20 คน เช่น นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานหอการค้าไทย นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริหารทรู คอร์ปอเรชั่น และนายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
พลเอกประวิตรกล่าวว่า การหารือกันในวันนี้ เป็นเรื่องของความมั่นคงที่ต้องคู่กับเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่มั่นคง ความมั่นคงก็ไม่มั่นคงเช่นกัน ควรทำความเข้าใจว่าจะทำอย่างไร ซึ่งนักธุรกิจได้เสนอความต้องการมาเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับหน่วยงานราชการ ซึ่งบางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าหน่วยราชการทำอะไรไปแล้วบ้าง ยืนยันว่ารัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสะดวกในการลงทุน แต่บางเรื่องจะดำเนินการทันทีทันใดคงไม่ได้ ต้องแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว นอกจากนี้นักธุรกิจยังกล่าวถึงสาเหตุการส่งออกที่ติดลบและมั่นใจแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลว่าต่อไปจะดีขึ้นแน่นอน ส่วนปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกนั้น คงเป็นในเรื่องของค่าเงินบาท ที่แข็งเกินไป