*นายกฯเตรียมใช้กฎหมายอื่น แทนกฎอัยการศึก *
หลังการเดินทางกลับจากเยือนบูรไน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีที่อารมณ์ดีกว่าเมื่อวาน ทันทีที่พลเอกประยุทธ์เจอกับกลุ่มสื่อมวลชนก็กล่าวทักทายว่า ดีใจที่ได้กลับมาเจอหน้ากัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จะมีการพิจารณายกเลิกการใช้กฎอัยการศึกเพื่อใช้กฎหมายอื่นแทนหรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่เอานิ้วชี้ไปที่ศรีษะ พร้อมกล่าวว่า “ผมคิดอยู่ตั้งนานแล้ว” ส่วนจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมครม.พรุ่งนี้ หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าดีเมื่อไหร่ก็จะทำ เมื่อถามต่อว่า จะใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาแทนกฎอัยการศึกใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่รู้คิดอยู่เหมือนกัน พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างสบายใจ จะได้รู้ว่าใช้กฎหมายแค่ไหน ไม่ได้ใช้ทั้งฉบับรายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีและคสช.อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายฉบับใดมาแทนกฎอัยการศึกระหว่างการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ หรือ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557
ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการเยือนบรูไนดารุสซาลาม ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 25-26 มีนาคม ว่า การเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนประเทศอาเซียนเป็นประเทศที่ 6อย่างไรก็ตามการเดินทางเยือนครั้งนี้มีการลงนามความร่วมมือร่างบันทึกความเข้าใจด้านสินค้าเกษตรไทย-บรูไนฯ ที่รวมถึงการเกษตร การประมง การปศุสัตว์และอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่เป็นการแลกเปลี่ยนกันทางด้านการตลาด โดยจะมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวยืนยันการพัฒนาการทางการเมืองของไทยที่ดำเนินไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ ส่วนความร่วมมือด้านความมั่นคงทั้ง 2 ฝ่ายจะขยายความร่วมมือกันมากขึ้น จากที่ผ่านมามีการฝึกทหารและแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งจะมีการฝึกร่วมกันในมิติอื่นๆ เพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องความปลอดภัยและต่อต้านการก่อการร้าย ส่วนด้านพลังงานนั้นทางบรูไนฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ในเรื่องของน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงมีการหารือถึงพลังงานทางเลือกอื่นๆ ส่วนด้านการเกษตร นายกรัฐมนตรีขอบคุณบรูไนฯที่นิยมบริโภคข้าวจากไทย และสั่งนำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น ประมาณ 30,000 ตันต่อปี ขณะที่ฝ่ายบรูไนฯระบุว่าชาวบรูไนบริโภคข้าวจากไทยถึงร้อยละ 90 ซึ่งในอนาคตจะมีการนำเข้ามากขึ้น เพราะข้าวไทยมีประโยชน์ ช่วยลดเบาหวาน เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้อง
นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ บรูไนฯ โดยสมเด็จพระราชาธิบดีซึ่งเป็นผู้นำที่มีความอาวุโสสูงสุดของอาเซียน จัดให้มีการประชุมเกี่ยวกับสินค้าเกษตร เพื่อให้ต้นทุนการผลิตลดลง และราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น รวมถึงให้กำหนดราคาสินค้าเกษตรเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่วนสินค้าฮาลาล ขอให้มีความร่วมมือกันมากขึ้นและร่วมลงทุนในกิจการฮาลาลของไทยเพราะไทยมีศักยภาพในการส่งออก สมเด็จพระราชาธิบดีสนับสนุนการไม่ใชัความรุนแรงในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะช่วยสร้างความเข้าใจการแก้ไขปัญหาของไทย ให้เวทีสากลได้รับทราบ ซึ่งจะมีการช่วยสร้างความเข้าใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ ทรงตอบรับตามคำเชิญของพล.อ.ประยุทธ์ ในการเสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในระยะเวลาอันใกล้นี้