การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงว่า ขณะนี้สายพันธุ์โควิดพบมาก คือ BA.5 ส่วนการเฝ้าระวัง BA.2.75 มี 13 คน ถือว่า ยังน้อย เมื่อเทียบกับ BA.4 และ BA.5 มีมากเกือบ 100% โดยใน BA.5 มีเกือบ 6 เท่าของ BA.4 ทำให้ขณะนี้ BA.5 ครองตลาดในไทยมากที่สุด ส่วน BA.2.75 ยังไม่มีวี่แววว่าจะเข้ามาแทนที่ ขณะที่ BA.4.6 ก็ยังไม่มีในประเทศไทย
ส่วนภาพรวมการติดเชื้อขณะนี้ถือว่า ดีขึ้น อย่างอัตราการฉีดวัคซีน 2 เข็มอยู่ที่ประมาณ 70% และจำนวนหนึ่งน่าจะติดเชื้อไปแล้ว ข้อมูลกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจในบุคลากรส่วนกลาง 1,200 คน พบติดเชื้อ 400 คน ประมาณ 1 ใน 3 เชื่อว่า คนไทยที่ติดเชื้อแล้วอาจไม่รู้ตัวหรือไม่ได้ตรวจน่าจะมีประมาณ 30-40% บวกกับการฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันที่มากพอทำให้การระบาดไม่มีปัญหาอะไร แต่สถานการณ์ดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า ไม่มีการกลายพันธุ์
สำหรับการตัดสินใจฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะมีปัญหาอย่างไรนั้น นายแพทย์ศุภกิจ มองว่า มีความเสี่ยงของการติดเชื้อ หรือรุนแรงอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะถอยไปศูนย์ เพียงแต่การสู้อาจไม่เพอร์เฟค แต่อย่างน้อยได้สัก 3 เข็มโอกาสเสียชีวิตจากโรคก็จะต่ำมากๆ แต่หากอยากได้แบบเพอร์เฟคสูงๆ ก็ต้องกระตุ้นทุก 3-4 เดือน ยอดฉีดวัคซีน 3 เข็ม ขึ้นไปสัก 70-80% และหนึ่งในนั้นมีกลุ่ม 608 กลุ่มเสี่ยงได้ฉีดกระตุ้นสูงๆยิ่งดี เพราะจะลดความรุนแรงของเชื้อ ลดอัตราการเสียชีวิตได้
เมื่อภูมิคุ้มกันหมู่เพิ่มขึ้น มีกลุ่มที่ฉีดมาแล้ว 5 เข็ม ควรกระตุ้นเป็นเข็ม 6 อีกหรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งต้องการรอวัคซีนรุ่นใหม่ นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า หากชั่งน้ำหนักว่าเราฉีดมาแล้ว 5 เข็ม ย่อมมีภูมิฯ ในระดับหนึ่ง และหากไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ไม่ได้คลุกคลีกลุ่มเสี่ยงใดๆ ก็อาจจะรอดูสถานการณ์ได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อด้วย เพราะหากเกิดการกลายพันธุ์และรุนแรงก็ต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง และเชื่อว่า การปูพื้นด้วยวัคซีนเชื้อตาย ก็ไม่เสียเปล่า เป็นฐานที่ดีแล้วเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยแพลตฟอร์มอื่นก็ช่วยกระตุ้นได้มาก
#โควิดไทย
#วัคซีนเข็มกระตุ้น