หลังพรรคขบวนการซาดริสต์(Sadrist Movement)ของนายมุกตาดา อัล-ซาดร์ (Muqtada al-Sadr) ผู้นำศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์ของอิรัก ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ได้ที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) 73 ที่นั่ง จากทั้งหมด 329 ที่นั่ง แต่พรรคไม่สามารถชนะด้วยคะแนนเสียงส.ส.มากพอที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ทำให้ต้องเจรจากับพรรคอื่นๆเพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมมาบริหารประเทศ การเจรจายืดเยื้อ ทำให้การเมืองอิรัก ไร้เสถียรภาพมาเกือบ 1 ปีแล้ว
จนกระทั่งนายซาดร์ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า เขาจะเลิกเล่นการเมือง และตำหนินักการเมืองจากสายชีอะห์และพรรคอื่นๆว่า ต่อต้านการปฏิรูประบบการเมืองของอิรัก ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนไม่พอใจ บุกฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้าไปในทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงแบกแดดเมื่อคืนวาน ปะทะกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิรัก ซึ่งเจ้าหน้าที่แพทย์ในกรุงแบกแดด เปิดเผยว่า มีคนเสียชีวิต 15 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 350 คน หลังเหตุปะทะทั้งในทำเนียบประธานาธิบดีและการปะทะในพื้นที่ความมั่นคงสูงคือ ย่านกรีนโซนของกรุงแบกแดก ที่ตั้งทำเนียบรัฐบาลและสถานทูตต่างชาติตลอดคืนที่ผ่านมา นับเป็นเหตุรุนแรงที่สุดในกรุงแบกแดดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ด้านนายมุสตาฟา อัล-คาดีมี รักษาการนายกรัฐมนตรีของอิรัก ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ขอให้นายซาดร์ ช่วยห้ามปรามกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาให้ยุติใช้ความรุนแรง ต่อมาคนใกล้ชิดคนหนึ่งของนายซาดร์ เปิดเผยกับสำนักข่าวไอเอ็นเอของทางการอิรักว่า นายซาดร์ ประกาศจะอดอาหารประท้วงไปจนกว่ากลุ่มผู้สนับสนุนและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิรัก จะหยุดใช้ความรุนแรง รวมถึงการใช้อาวุธ
ขณะเดียวกัน นายอัล-คาดีมี ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศเมื่อคืนวาน ห้ามประชาชนออกจากเคหสถานในยามค่ำคืนทั่วประเทศ หลังเกิดเหตุความไม่สงบในเมืองอื่นๆด้วย ให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของอิรักมีอำนาจจับกุมผู้ประท้วงโดยไม่ต้องขอหมายศาล เพื่อรักษาความเรียบร้อยจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
#อิรัก
#ประท้วงในกรุงแบกแดด